นายนพดล ปิ่นสุภา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บมจ.ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า จากเหตุอุปกรณ์ ณ แหล่งก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย (เจดีเอ เอ-18) ชำรุดทำให้ต้องหยุดการผลิตและจ่ายก๊าซธรรมชาติเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมานั้น ปตท.ได้ประชุมติดตามสถานการณ์ซ่อมแซมแหล่งก๊าซฯ เจดีเอ เอ-18 กับบริษัทผู้ผลิตฯ อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน โดยผู้เชี่ยวชาญได้เข้าพื้นที่เพื่อซ่อมแซมอุปกรณ์ที่เสียหายแล้ว ปรากฏว่าพบความเสียหายที่ปล่องเผาไหม้แรงดันสูงทั้งสองปล่อง ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในกระบวนการผลิต จึงจำเป็นต้องหยุดการส่งก๊าซฯ ทั้งหมด และรายงานแผนการซ่อมแซมคาดว่าจะแล้วเสร็จในวันที่ 12 ก.ค.นี้ โดยระหว่างนี้ ปตท.ได้บริหารการจัดหาเชื้อเพลิงสำหรับโรงไฟฟ้า รวมถึงจัดสรรก๊าซเอ็นจีวีในพื้นที่ และก๊าซธรรมชาติในส่วนที่ส่งมายังภาคตะวันออกอย่างต่อเนื่องเพื่อลดผลกระทบของผู้ใช้พลังงาน
ทั้งนี้ ปตท.ได้ประสานความร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยในช่วงที่ผ่านมา ปตท.ได้จัดหาเชื้อเพลิงทดแทนสำหรับการผลิตของโรงไฟฟ้าจะนะ เป็นน้ำมันดีเซล โดยจัดส่งโดยรถวันละ 1 ล้านลิตร และจัดหาเชื้อเพลิงสำหรับโรงไฟฟ้ากระบี่เป็นน้ำมันเตา ขนส่งโดยเรือเที่ยวละ 2 ล้านลิตร เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าสนับสนุนพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งปัจจุบันปริมาณเชื้อเพลิงสำรองยังมีเพียงพอตลอดระยะเวลาที่ผู้ผลิตก๊าซหยุดผลิต ในส่วนของก๊าซธรรมชาติที่จ่ายไปยังภาคตะวันออกนั้น ปตท.ได้เรียกรับก๊าซธรรมชาติจากแหล่งอื่นเข้ามาเสริม และใช้ก๊าซธรรมชาติเหลวมาทดแทน
สำหรับผู้ใช้ก๊าซเอ็นจีวีในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว ปตท.ได้เพิ่มปริมาณก๊าซฯ จากสถานีก๊าซธรรมชาติหลักราชบุรีจัดส่งไปยังพื้นที่ภาคใต้รวมปริมาณจัดส่งก๊าซฯ ไม่น้อยกว่า 55 ตันต่อวัน ซึ่งคาดว่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้ก๊าซเอ็นจีวีในพื้นที่ได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงตรวจสอบความพร้อมของสภาพรถขนส่งก๊าซและพนักงานขับรถที่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยในการขับขี่อย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยร่วมกันของผู้ใช้รถบนท้องถนน
นอกจากนี้ ได้ประชาสัมพันธ์ผ่านสถานีวิทยุส่วนกลางและสถานีวิทยุในท้องถิ่น รวมถึงประชาสัมพันธ์ในสถานีบริการฯ ทั้งในและนอกพื้นที่ตั้งแต่จังหวัดสมุทรสาครจนถึงจังหวัดปัตตานีผ่านสื่อเอกสารเผยแพร่และป้ายประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ผู้ใช้ก๊าซเอ็นจีวีได้รับทราบและวางแผนการใช้เชื้อเพลิงล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม ปตท. ยังคงจำเป็นต้องปิดสถานีบริการเอ็นจีวีจำนวน 6 แห่งเช่นเดิมจนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ
"ปตท.ขออภัยในความไม่สะดวกของผู้ใช้พลังงานในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง และขอขอบคุณผู้ใช้รถเชื้อเพลิง 2 ระบบ (น้ำมันและก๊าซเอ็นจีวี) ที่ให้ความร่วมมือปรับใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงทดแทนในช่วงเวลานี้ การปิดซ่อมแซมแหล่งก๊าซเจดีเอ เอ-18 ในครั้งนี้ถือเป็นเหตุฉุกเฉินที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน ปตท.จะทำหน้าที่ประสานติดตามสถานการณ์และบริหารจัดการพลังงานอย่างดีที่สุด โดยผู้ใช้พลังงานสามารถสอบถามข้อมูลการให้บริการ ได้ทาง PTT Contact Center 1365 ตลอด 24 ชั่วโมง" นายนพดล กล่าว