นายพิชิต อรุณพัลลภ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาแรงงานในภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงธุรกิจก่อสร้างกำลังประสบปัญหาใหญ่เข้าขั้นวิกฤต มีภาวะขาดแคลนแรงงานในทุกกลุ่ม ทั้งระดับหัวหน้าคุมงาน แรงงานระดับช่างฝีมือ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ตลอดจนแรงงานไร้ฝีมือ
ผลกระทบต่อภาคธุรกิจก่อสร้างและธุรกิจรับสร้างบ้านนั้น ผู้ประกอบการรับจ้างก่อสร้างได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็น SME ซึ่งมีซับคอนแทรคที่ต้องพึ่งแรงงานต่างด้าวเป็นส่วนประกอบสำคัญและกลุ่มนี้มีศักยภาพจำกัดทั้งเวลาและเงินทุนอีกทั้งแรงงานในกลุ่มก่อสร้างเป็นแรงงานระบบเปิด คือมีการเคลื่อนย้ายถ่ายเทตลอดเวลา กล่าวคือ เมื่อซับคอนแทรคบางรายที่มีข้อจำกัดแล้วได้รับผลกระทบเขาก็ไม่สามารถที่จะรับงานได้ก็กระทบทั้งต่อบริษัทรับสร้างบ้านและผู้บริโภค
"หากการก่อสร้างในโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ทั้งโครงการรถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง ที่ได้รับอนุมัติได้ เริ่มลงมือก่อสร้างเมื่อไหร่ความต้องการพึ่งพาแรงงานนั้นจะสูงมาก ซึ่งอาจถึงขึ้นต้องแย่งตัวแรงงานต่างด้าวที่ประจำในแต่ละไซต์งาน" นายพิชิต กล่าว
นายพิชิต กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลชะลอหรือเลื่อนการบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่าง พ.ศ.2560 บางมาตราที่มีบทลงโทษรุนแรงออกไปถือเป็นเรื่องที่ดี และสะท้อนให้เห็นว่าภาครัฐเข้าใจความเดือดร้อนของผู้ประกอบการ พร้อมกับหาแนวทางดำเนินการที่ไม่ให้ได้รับความเดือดร้อน
ที่ผ่านมารัฐบาลยังขาดความพร้อมด้านประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและสนับสนุนการทำ MOU ซึ่งทำให้เกิดช่องโหว่ในการปฏิบัติจริง
"เห็นด้วยที่รัฐบาลให้ความสำคัญในการบังคับใช้กฎหมายแรงงานต่างด้าวอย่างจริงจังหรือมองในประเด็นเรื่องของความมั่นคงของประเทศ แต่ก่อนที่รัฐบาลจะปรับระดับความรุนแรงในการบังคับใช้กฎหมาย อยากให้รัฐบาลพิจารณาปัญหาในการทำMOUที่ผ่านมารวมถึงผลกระทบให้รอบด้านก่อนเพื่อให้ได้ข้อมูล ข้อเท็จจริงซึ่งภาคเอกชนก็มีความพยายามที่จะทำให้ถูกกฎหมายอยู่แล้ว" นายพิชิต กล่าว