นายสมคิด จาตรุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีและมีความแข็งแกร่ง เพราะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศยังอยู่ในระดับสูง และหากนับรวมกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนจะมีมูลค่าสูงถึง 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ
อีกทั้งหลังจากเข้าพบผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับการยืนยันว่ายังไม่พบปัญหาฟองสบู่ และตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ มีการฟื้นตัวขึ้น เห็นได้จากตัวเลขประมาณการของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ได้ปรับเพิ่มขึ้นทั้ง GDP และประมาณการส่งออก ทำให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะไม่เผชิญวิกฤติต้มยำกุ้งเหมือนเช่นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
"ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ควรดูตัวเลข GDP เป็นตัวชี้วัดอย่างเดียว เพราะว่ามันไม่ได้ชี้วัดอะไร แต่การที่ประเทศไทยจะเติบโต และแข่งขันได้นั้น ต้องดูจากตัวเลขการส่งออก ซึ่งมั่นใจว่าตัวเลขส่งออกจะขยายตัวได้ 5% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทำได้สบายมาก" นายสมคิด กล่าว
ส่วนสถานการณ์เงินบาทในปัจจุบันที่แข็งค่าขึ้นนั้น เกิดจากดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า และเป็นปัจจัยที่ยังไม่น่ากังวล เพราะเป็นการแข็งค่าในทิศทางเดียวกับค่าเงินของประเทศอื่นในภูมิภาค ซึ่งคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ประการรายใหญ่ เนื่องจากมีการทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไว้แล้ว แต่ในทางกลับกันยังเป็นห่วงผู้ประกอบการรายเล็กและกลางบางรายที่อาจไม่มีการทำประกันความเสี่ยงในส่วนนี้
"ปัจจุบันอยากให้ผู้ประกอบการปรับตัวให้เข้ากับสภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น พฤติกรรมของผู้บริโภค ประเภทสินค้า ซึ่งธุรกิจต้องมีการปรับเปลี่ยนโมเดลให้สอดคล้อง และนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน" นายสมคิด กล่าว
ทั้งนี้ สำหรับกรณีที่เงินไหลออกสุทธิมีมูลค่าเพิ่มขึ้นนั้น นายสมคิด มองว่าเป็นผลมาจากการที่นักลงทุนไทยนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ เป็นการขยายการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งการเติบโตของธุรกิจไทยไม่ใช่เฉพาะขยายการลงทุนในประเทศเท่านั้น แต่การเติบโตของธุรกิจต้องก้าวออกไปในตลาดโลก อย่างเช่นหลายบริษัทใหญ่ ได้แก่กลุ่มปตท. และกลุ่มซีพี เป็นต้น ซึ่งธุรกิจใหญ่เหล่านี้ต่างมีการขยายธุรกิจไปในต่างประเทศ เป็นภาพที่สะท้อนการขยายตัวทางธุรกิจของผู้ประกอบการไทยที่ก้าวไปสู่ตลาดโลกได้ดี