ธปท.มองส่งออก-ท่องเที่ยวยังเป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อนศก.ครึ่งปีหลัง,ไม่ห่วงหนี้เสีย SME เพิ่ม

ข่าวเศรษฐกิจ Friday July 14, 2017 17:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่สำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่ง ธปท.คาดการณ์ว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 3.5% และปี 61 เติบโตได้ 3.7%

อย่างไรก็ดี ยังคงมีความเสี่ยงจากปัจจัยด้านต่างประเทศ เช่น เศรษฐกิจประเทคู่ค้าที่อาจขยายตัวต่ำกว่าคาด และความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ, ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า, ผลกระทบจากการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของจีน

ในขณะที่ความเสี่ยงในประเทศนั้น กำลังซื้อในประเทศยังไม่กระจายตัวไปอย่างทั่วถึง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการบริโภคมากกว่าที่คาด, ความสามารถในการชำระหนี้ของ SMEs ที่ยังคงเห็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) สูงขึ้น, ผลกระทบจากนโยบายการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว รวมทั้งพฤติกรรม search for yield ในภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน อาจนำไปสู่การประเมินความเสี่ยงของตลาดต่ำกว่าที่ควร

นายจาตุรนต๋ กล่าวว่า สำหรับมาตรการควบคุมสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ ธปท.เตรียมปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ที่จะมีความเข้มงวดมากขึ้นนั้น นายจาตุรงค์ เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการบริโภคภาคประชาชน เนื่องจากเป็นหลักเกณฑ์ที่จะนำมาใช้กับลูกค้ารายใหม่ไม่ใช่ลูกค้ารายเดิมที่ได้รับสินเชื่ออยู่แล้ว

“มาตรการคุมสินเชื่อบัตรเครดิตคงไม่มีผลต่อการบริโภคเท่าใดนัก เพราะการก่อหนี้นั้นจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงพักเดียว แต่พอหนี้ครัวเรือนเริ่มสูงขึ้น อำนาจการบริโภคในอนาคตก็จะลดลง เพราะเป็นการเอาเงินในอนาคตมาใช้ก่อน...มาตรการนี้ไม่ได้ใช้กับลูกค้ารายเดิมที่ได้รับสินเชื่ออยู่แล้ว แต่จะใช้กับลูกค้ารายใหม่ๆ" นายจาตุรงค์ กล่าว

ส่วนกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งภายในปีนี้ รวมถึงทยอยปรับลดขนาดงบดุลตามขั้นตอนและวิธีการที่ประกาศไว้ รวมทั้งในปี 61 ที่ยังคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 3 ครั้งนั้น นายจาตุรงค์ ระบุว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เห็นว่าขณะนี้ยังมีความจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป และยังไม่ถึงเวลาที่จะลดการผ่อนคลายลง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ยังไม่ปรับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ +/- 2.5% หรือในกรอบ 1-4% แต่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ราวปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า

สาเหตุที่เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย คือ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเริ่มเป็นขาขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ supply side ที่เคยเป็นตัวกดดันเงินเฟ้อจะหายไป รวมทั้งปัจจัยจากฐานเงินเฟ้อที่ต่ำในช่วงครึ่งปีแรก

“ตอนนี้เงินเฟ้อยังไม่ปรับตัวเข้าสู่กรอบเป้าหมาย กนง.คิดว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะลดการผ่อนคลายนโยบายการเงิน...คาดว่าเงินเฟ้อจะเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ในช่วงปลายปี 60 หรืออย่างช้าต้นปี 61" นายจาตุรงค์ กล่าว

พร้อมยืนยันว่า แม้อัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันที่ยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็ไม่ได้เห็นสัญญาณของเงินฝืดแต่อย่างใด เนื่องจากเศรษฐกิจของไทยยังมีแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

สำหรับปัญหา NPL ที่เพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจ SMEs ที่จะส่งผลกระทบต่อธนาคาพาณิชย์นั้น ถือว่ายังไม่น่าเป็นห่วงมาก เนื่องจากระดับหนี้ของ SMEs มีสัดส่วนไม่มากเมื่อเทียบกับยอดสินเชื่อรวมของธนาคารพาณิชย์ อีกทั้งฐานะทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ยังมีความเข้มแข็งทั้งในส่วนของเงินกองทุน และเงินสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่ยังสามารถรองรับการเป็น NPL ของ SMEs ได้

พร้อมกันนี้ มองว่าภาคธุรกิจ SMEs ในปัจจุบันยังมีปัญหาในเรื่องความสามารถทางการแข่งขัน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจและปัจจัยด้านการบริหารจัดการของ SMEs เอง กล่าวคือ เมื่อเศรษฐกิจอยู่ในภาวะที่มีการแข่งขันสูง ทำให้ภาคธุรกิจ SMEs จำเป็นต้องเร่งปรับตัวให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ ซึ่งหากไม่มีการปรับตัว ธุรกิจก็จะไม่สามารถอยู่รอดได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ