นายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับไอบีเอ็มในการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนสร้างระบบต้นแบบใช้รับรองเอกสารต้นฉบับ และได้ทำการทดสอบบริการบน Regulatory Sandbox ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) และบจก.พีทีที โพลีเมอร์ มาร์เก็ตติ้ง (PTTPM) ร่วมพัฒนาบริการหนังสือค้ำประกันบนเทคโนโลยีบล็อกเชน (Enterprise Letter of Guarantee on Blockchain) เพื่อยกระดับการจัดการเอกสารหนังสือค้ำประกันแก่หน่วยงานผู้รับหนังสือค้ำประกัน และคู่ค้าผู้วางหนังสือค้ำประกัน
โดยรัฐวิสาหกิจหรือธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มีคู่ค้าจำนวนมาก จะเชื่อมโยงเอกสารหนังสือค้ำประกันของคู่ค้าทั้งหมดบนมาตรฐานเดียวกันด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ 100% ตลอดกระบวนการตั้งแต่เริ่มจนจบโดยไม่ใช้กระดาษ ปลอดภัยสูง ตรวจสอบได้ง่าย และยังปลอมแปลงยาก รวมทั้งสะดวกรวดเร็วกว่ารูปแบบเดิม ซึ่งสามารถเข้าตรวจสอบได้ ทุกที่ ทุกเวลา และจะบันทึกประวัติต่อเป็นห่วงโซ่แบบอัตโนมัติทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ ยังเอื้อให้เกิดการเชื่อมต่อไปยังเครือข่ายธนาคารต่าง ๆ ได้ในอนาคต บริษัทผู้รับหนังสือค้ำประกันจึงเข้าระบบเพื่อดูเอกสารหนังสือค้ำประกันของคู่ค้าที่ออกโดยธนาคารต่าง ๆ ได้ จากการเข้าระบบเพียงครั้งเดียว
บริการหนังสือค้ำประกันบนเทคโนโลยีบล็อกเชน จึงมีประโยชน์ต่อธุรกิจใน 6 ด้าน ได้แก่ 1.ความปลอดภัย มีการจัดเก็บข้อมูลขึ้นบนระบบบล็อกเชนที่มีมาตรฐานเดียวกันและตรวจสอบสถานะได้ตลอดเวลา 2.ความเร็ว ช่วยลดเวลาขั้นตอนด้านเอกสารจาก 24 ชั่วโมง เหลือเพียง 30 นาที 3. การลดต้นทุน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายการจัดการเอกสารลง 2 เท่า 4.การเพิ่มประสิทธิภาพภาคธุรกิจให้จัดการเอกสารได้รวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลา 5. ข้อมูลรวมศูนย์ ภายใต้แพลตฟอร์มเดียวกัน และ 6.การสร้างโอกาสทางธุรกิจ ช่วยให้ธุรกิจขับเคลื่อนได้เร็วขึ้น โดยการใช้โครงสร้างพื้นฐานด้านฐานข้อมูลที่มีมาตรฐานร่วมกัน สามารถเชื่อมต่อเพื่อต่อยอดได้ในอนาคต
นายพิพิธ กล่าวว่า ในปี 2560 คาดว่าประเทศไทยจะมีการออกหนังสือค้ำประกันผ่านระบบธนาคารพาณิชย์มูลค่ารวมกว่า 1.35 ล้านล้านบาท ขยายตัวจากปีที่ผ่านมา 8% ในจำนวนนี้เป็นหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคารกสิกรไทย ประมาณ 3.3 แสนล้านบาท ที่ส่วนแบ่งตลาด 25% เป็นอันดับหนึ่ง เป็นการใช้บริการหนังสือค้ำประกันผ่านสาขา 80% และผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ 20% ซึ่งธนาคารตั้งเป้าว่า ในสิ้นปี 2561 จะสามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้บริการผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์เป็น 35% โดยเป็นสัดส่วนที่ใช้ผ่านบล็อกเชน 5%
"เชื่อมั่นว่า บริการหนังสือค้ำประกันบนเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกนี้ จะถูกนำไปใช้และพัฒนาให้เป็นมาตรฐานใหม่ที่เป็นสากล เพราะบล็อกเชนจะเอื้อให้ทุกภาคส่วนในระบบเชื่อมต่อและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ร่วมกัน ช่วยลดปริมาณการใช้กระดาษ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ พร้อมขับเคลื่อนสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0" นายพิพิธ กล่าว