นายธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ยืนยันว่าประเทศไทยจะไม่ได้รับผลกระทบหลังกรณีมีข่าวในโซเซียลระบุว่าบริษัทยางล้อรายใหญ่มีแผนไม่รับซื้อยางพาราจากประเทศที่ปลูกยางในพื้นที่บุกรุกว่า โดยกยท. ได้มีการเตรียมแผนรองรับและดำเนินการแล้ว คือ การสนับสนุน ส่งเสริม ให้ความรู้กระตุ้นให้เกษตรกรชาวสวนยางที่อยู่ในความรับผิดชอบของ กยท. เห็นถึงความสำคัญและโอกาสของการพัฒนาสวนยางไปสู่มาตรฐานระดับสากล เช่น มาตรฐาน FSC (Forest Stewardship Council) เพื่อเพิ่มมูลค่าไม้ยาง รักษามาตรฐานคุณภาพ และขยายฐานตลาดส่งออก ซึ่งเริ่มดำเนินการแล้วตั้งแต่ปี 2559 โดยนำร่องในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนบน ปัจจุบันมีผู้ร่วมโครงการกว่า 2,700 ราย รวมพื้นที่กว่า 40,000 ไร่
สำหรับการดำเนินการจะเน้นการอบรมให้เกษตรกรได้รับความรู้เกี่ยวกับการจัดการสวนยางอย่างยั่งยืนตามมาตรฐาน FSC มีการสำรวจตรวจแปลง และเตรียมเรื่องการตรวจรับรอง ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 9 เดือน จึงคาดว่าประมาณเดือนก.ย.นี้ จะมีพื้นที่นำร่องพื้นที่แรก จากนั้นจะมีการขยายผลต่อในช่วงเดือนสิงหาคมอีกประมาณ 50,000 ไร่ ในเขตภาคตะวันออก (ตราด จันทบุรี ระยอง) และในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนกลางอีกประมาณ 50,000 ไร่ (นครศรีธรรมราช ตรัง กระบี่)
"ภายใน 3 ปีคาดว่า การผลักดัน และบริหารการจัดการสวนยางอย่างยั่งยืนตามมาตรฐานสากลจะครอบคลุมพื้นที่สวนยางของเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท. ทั้งหมด ฉะนั้น ปัญหาเรื่องบริษัทยางไม่รับซื้อยางจากประเทศที่ไม่ได้รับการรับรอง จึงไม่มีผลต่อประเทศไทย เพราะสามารถมั่นใจได้ว่าสวนยางที่ปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสมที่อยู่ภายใต้การดูแลของ กยท. เป็นสวนยางที่มีแหล่งที่มาถูกต้องชัดเจน"
นายธีธัช กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ กยท. ได้เร่งดำเนินการในเรื่องการให้การรับรองมาตรฐาน FSC สำหรับสวนยางที่เปิดกรีด ซึ่งเป็นแนวคิดในการที่จะรับรองการดำเนินการจัดการสวนยางให้ได้มาตรฐานการจัดการสวนยางอย่างยั่งยืน ตั้งแต่น้ำยางไปจนถึงไม้ยาง โดยจะเน้นดำเนินการในรูปแบบแปลงใหญ่ ผ่านสถาบันเกษตรกร เพราะ กยท. มองว่า สถาบันเกษตรกรเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา และให้สถาบันเกษตรกรทำหน้าที่ในการเก็บรวบรวมผลผลิตของเกษตรกรสมาชิกที่ได้รับรองมาตรฐาน ซึ่งจะได้ผลผลิตที่เป็นการรับรองจาก FSC
ทั้งนี้ เกษตรกรที่เข้าสู่ระบบของ FSC ซึ่งเทียบเท่ากับระบบให้การส่งเสริมปลูกแทนของ กยท. แต่ประเด็นการจัดการสวนยางแบบยั่งยืนจะมีการตรวจสอบรายงานย้อนกลับ รวมไปถึงเรื่อง สิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพที่เพิ่มเติมเข้ามา โดยมุ่งเน้นให้มีการจัดการสวนยางให้เกิดความสมดุลทั้ง 3 ด้าน คือสิ่งแวดล้อม ชุมชนสังคม หรือเศรษฐกิจ จะได้ประโยชน์ในเรื่องของมูลค่าของผลิต ทั้งที่เป็นน้ำยางและสิ่งที่ไม่ใช่ยาง ซึ่งหมายถึงไม้ยาง ซึ่งสามารถผลักดันให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 10% ของมูลค่าที่มีการซื้อขายอยู่ทั่วประเทศ สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้เกษตรกร สถาบันเกษตรกร ผู้ประกอบการ สามารถเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันการผลิตและการแข่งขันทางการตลาดสู่กับต่างประเทศได้
"อยากให้มีการตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องครบถ้วน เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาการสร้างกระแสเชิงลบที่จะกระทบต่อสถานการณ์ราคายางปัจจุบัน"