นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมสรุปผลการตรวจสอบด้านการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือนตามโครงการ USAP-CMA โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT), บมจ.การบินไทย (THAI), บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด และคณะกรรมการดำเนินงานธุรกิจการบินกรุงเทพ เป็นต้น เข้าร่วมการประชุม
โดยผลการตรวจสอบด้านการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือนตามโครงการ USAP-CMA ที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) เข้ามาตรวจสอบเมื่อวันที่ 11-21 ก.ค.ที่ผ่านมา มีคำถามทั้งหมด 463 ข้อ ผลปรากฎว่าไม่พบประเด็นที่มีนัยยะสำคัญต่อการรักษาความปลอดภัย จะมีเพียงประเด็นที่ต้องปรับปรุงหรือมีมาตรฐานอยู่แล้วแต่ควรแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นรวม 49 ประเด็น
สำหรับรายละเอียดใน 49 ประเด็น ที่ ICAO แนะนำ มีประเด็นที่ควรต้องดูแลเป็นพิเศษ คือ เรื่องการเพิ่มกำลังคนด้านการรักษามาตรฐานการรักษาความปลอดภัย ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่ตรวจสอบด้านการบิน (Inspector) ของ กพท. และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของแต่ละสนามบิน เนื่องจากท่าอากาศยานในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น ภายในหรือระหว่างประเทศ มีนโยบายให้ใช้มาตรฐานเดียวกัน จึงทำให้ต้องมีการเพิ่มกำลังคนและประสิทธิภาพให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอยู่ในปัจจุบัน เหนื่อยล้าจนเกินไป
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะเรื่องการจัดทำแผนการรักษาความปลอดภัยของแต่ละท่าอากาศยานด้วย เพราะขณะนี้แผนการรักษาความปลอดภัยยังมีไม่ครบทั้ง 38 ท่าอากาศยาน ซึ่งทุกท่าอากาศยานต้องจัดทำแผนรักษาความปลอดภัยสำหรับท่าอากาศยานของตนและเสนอให้ กพท. พิจารณารับรองว่าเป็นไปตามมาตรฐานต่อไป
"ขั้นตอนจากนี้ คือหลังจากวันที่ 21 ก.ค.60 ไป 60 วัน ICAO จะส่งรายงานผลการตรวจสอบอย่างเป็นทางการมาให้อีกครั้ง หลังจากนั้นภายในอีก 30 วัน จะเป็นช่วงเวลาที่เปิดโอกาสให้ประเทศไทยเสนอข้อโต้แย้งหรือยืนยันการยอมรับรายงานผลการตรวจสอบนั้น หากขั้นตอนนั้นเสร็จสิ้น อีกภายใน 30 วัน ประเทศไทยจะต้องยื่นเสนอแผนปรับปรุงแก้ไขกลับไปให้ ICAO ทั้งนี้ ช่วงเวลาในการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขทั้งหมดขึ้นอยู่กับแต่ละหน่วยงานที่รับผิดชอบประเด็นการปรับปรุงแก้ไขนั้นๆ" นายจุฬา กล่าว