นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงแนวทางการผลักดันยุทธศาสตร์กระทรวงพาณิชย์เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยเศรษฐกิจในประเทศเน้นให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy) เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก เสริมสร้างขีดความสามารถผู้ประกอบการ SMEs และวิสาหกิจรายย่อย พัฒนาการอำนวยความสะดวกทางการค้ารองรับเศรษฐกิจดิจิทัล การยกระดับเศรษฐกิจการค้าเข้าสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าและภาคบริการ รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรในเชิงรุกและมีธรรมาภิบาล
ทั้งนี้ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการสำหรับผู้รับผิดชอบด้านการวางแผนยุทธศาสตร์การทำงานของหน่วยงานกระทรวงพาณิชย์ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคขึ้น เมื่อวันที่ 27 ก.ค.60 เพื่อเตรียมขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าของไทยในปีงบประมาณ 2561 โดยให้ความสำคัญกับการดูแลค่าครองชีพของประชาชน รณรงค์ให้ประชาชนรู้เท่าทันในการจับจ่ายใช้สอย สามารถเลือกซื้อหาสินค้าคุณภาพดีราคาประหยัด ในร้านค้า “ฉลาดซื้อประหยัดใช้" ทั่วประเทศ ซึ่งได้ให้ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพกว่า 87,000 ร้านค้า กระจายในทุกภูมิภาคของประเทศ อีกทั้งยังมี “ร้านค้าส่งค้าปลีกไทยสู่ชุมชน" “ร้านธงฟ้าประชารัฐ" อีกกว่า 25,000 ราย สำหรับประชาชนที่ต้องซื้ออาหารสำเร็จรูปรับประทาน ก็ยังมีร้านอาหาร “หนูณิชย์....พาชิม" กระจายอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศอีกกว่า 12,000 ร้าน ที่จำหน่ายอาหารจานเดียวราคาถูก สะอาด ดี อร่อย ในราคาจาน/ชามละ 25-35 บาทเท่านั้น
การสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่น กระทรวงพาณิชย์ได้ผลักดันให้มีการพัฒนาตลาดทั่วไปที่มีอยู่ในชุมชน และพิจารณาคัดเลือกตลาดชุมชนมาเป็น “ตลาดต้องชม" โดยมีสินค้าผลผลิตทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชนวางจำหน่ายเป็นหมวดหมู่ จำหน่ายสินค้าในราคาที่เป็นธรรม น้ำหนักเที่ยงตรง ผู้บริโภคได้จับจ่ายซื้อของดีมีความหลากหลาย และคงอัตลักษณ์ชุมชนไว้อย่างครบถ้วน เป็นสถานที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวได้มาเยี่ยมชมเพื่อจับจ่ายใช้สอย และยังมีตลาดสินค้าเฉพาะ เช่น ตลาดทุเรียน ตลาดอาหารทะเล รวมทั้งมีตลาดกลางสินค้าเกษตรทั่วไป การส่งเสริมให้มีหมู่บ้านทำมาค้าขาย ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจในชุมชนหมุนเวียน สมาชิกชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์มีสถาบันพัฒนาประกอบการโดยจะทำการพัฒนาตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจ ต่อด้วยการขยายตลาดให้เพิ่มขึ้นเพื่อขยายไปสู่ตลาดเพื่อนบ้าน และประเทศอื่นๆ พัฒนาไปสู่การลงทุนในต่างประเทศ และมีการพัฒนาผู้ประกอบการให้ทำการค้าในตลาดออนไลน์ (E commerce) อีกด้วย
การดำเนินการเพื่อยกระดับราคาสินค้าเกษตรโดยการแก้ไขปัญหาด้านราคาและดูดซับปริมาณในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก การเชื่อมโยงตลาดและเพิ่มช่องทางการจำหน่าย พัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า รวมทั้งสร้างความเป็นธรรมให้แก่เกษตรกรในการจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตร
“ในเดือนสิงหาคมนี้จะมีลำไยจากภาคเหนือออกสู่ตลาดจำนวนมาก กระทรวงพาณิชย์ได้ประสานกับห้างค้าปลีกค้าส่ง รวมทั้งห้างสรรพสินค้าทั้ง เทสโก้โลตัส บิ๊กซี แมคโคร ท็อปซุปเปอร์มาร์เก็ต รวมกว่า 2,800 สาขาทั่วประเทศ รับซื้อผลผลิตลำไยจากแหล่งผลิตเพื่อนำไปจำหน่ายทุกสาขาของห้างฯ เชื่อมโยงตลาดระหว่างภาคกับพื้นที่มิใช่เป็นแหล่งผลิตลำไย และส่งออกไปยังต่างประเทศซึ่งขณะนี้ทั้งจีนและอินโดนีเซียได้ทยอยสั่งซื้อลำไยจากไทยเพิ่มขึ้น" นางอภิรดี กล่าว