กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (BAY) เผยมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.20-33.40 ต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับปิดแข็งค่าที่ 33.24 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 26 เดือนครั้งใหม่ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับลดลง ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นมูลค่า 1.33 หมื่นล้านบาท แต่ซื้อพันธบัตรสูงถึง 4.69 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการซื้อพันธบัตรระยะสั้น
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ฯ มองว่า กรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะประกาศรายละเอียดการลดขนาดงบดุลในการประชุมเดือนกันยายนและจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนค่าเงินดอลลาร์ให้ฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในรอบหลายปีเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างๆ หลังตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนกรกฎาคมของสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด การปรับทบทวนตัวเลขของ 2 เดือนก่อนหน้าเพิ่มขึ้นจากเดิม รวมถึงอัตราการเติบโตของค่าจ้าง
อย่างไรก็ตาม แรงส่งที่จะหนุนดอลลาร์แข็งขึ้นต่อเนื่องขึ้นอยู่กับตัวเลขพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่จะมาสนับสนุนเพิ่มเติมว่าตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งขึ้นโดยเฉพาะการปรับขึ้นของค่าจ้างที่อัตราสูงสุดในรอบ 5 เดือนนั้นจะส่งผลให้เงินเฟ้อของสหรัฐฯ ปรับขึ้นตามไปด้วยหรือไม่ ซึ่งความกังวลของเฟดต่อภาวะเงินเฟ้อต่ำเป็นประเด็นสำคัญที่กดดันค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ มาโดยตลอด ตลาดจึงจะให้ความสนใจต่อการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้
สำหรับปัจจัยในประเทศ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกรกฎาคมของไทยพลิกกลับมาบวก 0.17% หลังจากติดลบสองเดือนต่อเนื่อง แต่ยังต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ 1-4% โดยกลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์คาดว่ากนง.จะยังไม่ปรับนโยบายในเร็วๆ นี้เนื่องจากการลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัวค่อนข้างช้า นับตั้งแต่ต้นปี 2560 เงินบาทแข็งค่าแล้วราว 7.6% เป็นอันดับหนึ่งของอาเซียนและเอเชีย แซงหน้าเงินวอนของเกาหลีใต้ซึ่งเป็นสกุลเงินเดียวในเอเชียที่แข็งค่ามากกว่าเงินบาทในช่วง 7 เดือนแรกของปี ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นแรงขายดอลลาร์ในวงกว้างเกิดจากความไม่แน่นอนทางด้านนโยบายการเงินและการคลังของสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนจากค่าเงินยูโรซึ่งแข็งค่าขึ้นถึง 12% ในปีนี้