นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวภายหลังการประชุมยุทธศาสตร์การค้าผลไม้ครบวงจร ร่วมกับหอการค้าไทย ว่า ที่ประชุมฯ ได้กำหนดเป้าหมายในการผลักดันให้ไทยเป็นมหาอำนาจด้านผลไม้ของโลก เพราะไทยมีศักยภาพสูงในการผลิตและส่งออก โดยนำร่องก่อน 3 ชนิด ได้แก่ ทุเรียน มะพร้าวน้ำหอม และมังคุด เพราะตลาดมีความต้องการมากทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศให้การยอมรับผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้ของไทย
สาเหตุที่เลือกผลไม้ 3 ชนิดขึ้นมาทำยุทธศาสตร์เร่งด่วนก่อน เพราะไทยเป็นผู้นำในการผลิตและส่งออก โดยทุเรียน ไทยส่งออกแต่ละปีจำนวนมาก โดยเฉพาะส่งไปตลาดจีนและฮ่องกง ถ้าไม่ทำยุทธศาสตร์ตั้งแต่การผลิตที่จะต้องควบคุมคุณภาพให้คงที่ และการวางแผนเรื่องตลาดเอาไว้ ต่อไปก็อาจมีปัญหาได้ เพราะขณะนี้เกษตรกรปลูกทุเรียนกันมาก เพราะเห็นว่าขายได้ราคาดี
ส่วนมะพร้าวน้ำหอมนั้น ปัจจุบันไทยส่งออกไปได้ทั่วโลก เช่น จีน สหรัฐฯ แคนาดา โดยส่งออกเป็นมะพร้าวทั้งผล และแปรรูปเป็นสินค้าต่างๆ อีกมาก หากไม่วางแผนด้านการผลิต การควบคุมคุณภาพ และการหาตลาดรองรับ ก็จะทำให้ไทยรักษาอันดับ 1 ในการส่งออกของโลกไม่ได้ เพราะขณะนี้ประเทศคู่แข่งได้ให้ความสำคัญกับการผลิตและส่งออกเพิ่มขึ้น
ขณะที่มังคุดนั้นเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศมาก โดยเฉพาะตลาดจีน แต่ที่ผ่านมาผลผลิตในช่วงต้นฤดูราคาดีมาก แต่พอกลางและปลายฤดูราคามักจะตกต่ำ ซึ่งต้องวางแผนด้านการตลาด เพื่อรองรับผลผลิต
สำหรับการจัดทำยุทธศาสตร์จะกำหนดปริมาณการเพาะปลูกให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด, การให้ความสำคัญในการควบคุมและรักษาคุณภาพ และการจัดทำแผนด้านการตลาดรองรับปริมาณผลผลิต ซึ่งได้มอบหมายให้คณะทำงานทั้ง 2 ฝ่าย คือ กรมการค้าภายในและหอการค้าไทย ไปหารือกันในรายละเอียด เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ร่วมกันต่อไป
อย่างไรก็ตาม สำหรับผลไม้ชนิดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ลำไย สับปะรด กล้วย เงาะ ลองกอง ลิ้นจี่ และมะม่วง เป็นต้น จะมีการจัดทำยุทธศาสตร์เป็นรายสินค้าต่อไป เพราะเป็นผลไม้ที่มีศักยภาพเช่นเดียวกัน โดยการจัดทำยุทธศาสตร์จะเน้นการเพาะปลูกให้สอดคล้องกับความต้องการ การรักษาคุณภาพ การหาตลาดรองรับผลผลิต ซึ่งหากยุทธศาสตร์ผลไม้ใด จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาในระดับนโยบาย หรือเกี่ยวข้องกับกระทรวงอื่นๆ ก็จะนำเสนอให้คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) พิจารณาต่อไป