นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างกฎกระทรวงและร่างประกาศคณะกรรมการปิโตรเลียม ออกตามความใน พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 และที่แก้ไขเพิ่มเติมรวม 4 ฉบับ ประกอบด้วย ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอและการได้รับสิทธิเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิต, ร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต, ร่างกฎกระทรวงหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและระยะเวลาในการนำส่งค่าภาคหลวงให้แก่รัฐ สำหรับผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิต และร่างประกาศคณะกรรมมการปิโตรเลียม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดพื้นที่ที่จะดำเนินการสำรวจหรือผลิตปืโตรเลียมในรูปแบบของสัมปทาน สัญญาแบ่งปันผลผลิต หรือสัญญาจ้างบริการ ซึ่งคาดว่าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะดำเนินการตรวจสอบความเรียบร้อยได้ในเดือน ก.ย.และสามารถเปิดประมูลสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ได้ในเดือน ต.ค.นี้
"ในพื้นที่ที่มีโอกาสพบปิโตรเลียมสูง เช่น แหล่งที่มีน้ำมันขนาด 300 ล้านบาร์เรล จะใช้รูปแบบการจ้างผลิต ถ้าโอกาสสูงกว่า 39% ใช้รูปแบบแบ่งปันการผลิต แต่ถ้าโอกาสต่ำกว่า 3% ให้ใช้รูปแบบสัมปทาน" นายกอบศักดิ์ กล่าว
โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอและการได้รับสิทธิเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิต แบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต และการนำส่งค่าภาคหลวงให้แก่รัฐตามสัญญาแบ่งปันผลผลิต รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดพื้นที่จะดำเนินการสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมในรูปแบบของสัมปทาน สัญญาแบ่งปันผลผลิต หรือสัญญาจ้างบริการ เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลียมเป็นไปตาม พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2560
"การให้สัมปทานตามเดิมมีปัญหาถกเถียงกันว่า พอสำรวจพบน้ำมันแล้วจะเป็นของผู้รับสัมปทาน ไม่ได้ให้สิทธิ์กับคนในชาติ จึงมีการแก้ไข ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ" นายกอบศักดิ์ กล่าว
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า หลักเกณฑ์เฉลี่ยโอกาสในการพบปิโตรเลียม 39% มาจากสถิติการสำรวจแหล่งปิโตรเลียม 626 หลุม แล้วพบปิโตรเลียมในเชิงพาณิชย์ 245 หลุม โดยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกพบ 14% ภาคเหนือและภาคกลางพบ 31% อ่าวไทยพบ 50% ภาคใต้และทะเลอันดามันไม่พบ