(เพิ่มเติม) กนง.มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ตามตลาดคาด

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday August 16, 2017 14:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี โดยในการประชุมครั้งนี้ กรรมการ 1 ท่านลาประชุม ทั้งนี้ กนง.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวชัดเจนต่อเนื่องจากการส่งออกสินค้าและบริการที่ขยายตัวดีขึ้น ในขณะที่อุปสงค์ในประเทศยังขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังไม่กระจายตัวเท่าที่ควร

ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปทยอยปรับสูงขึ้นในอัตราที่ชะลอกว่าที่คาดไว้เดิมเล็กน้อยจากปัจจัยด้านอุปทาน โดยเฉพาะราคาอาหารสดเป็นหลัก ภาวะการเงินโดยรวมยังอยู่ในระดับผ่อนคลาย และเอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ คณะกรรมการฯ จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้

นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวชัดเจนต่อเนื่องจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวมากขึ้นในหลายกลุ่มสินค้าและในหลายตลาด และจากการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง รวมทั้งผลผลิตภาคการเกษตรเพิ่มสูงขึ้น ส่วนการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้าๆ ขณะที่การลงทุนในหมวดก่อสร้างชะลอลง ส่วนการลงทุนของภาครัฐขยายตัวได้น้อยกว่าที่คาดไว้เดิม

"การบริโภคภาคเอกชนที่ผ่านมายังขยายตัวเป็นบวกอยู่ แต่ไม่ได้มีการเร่งตัวขึ้น เมื่อเทียบกับภาคส่งออกและท่องเที่ยวที่ขณะนี้เป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ส่วนการลงทุนของภาคเอกชนยังขยายตัวได้ช้าๆ ยังไม่มีแนวโน้มจะเร่งตัวเพิ่มขึ้น ส่วนการลงทุนภาครัฐเบิกจ่ายได้ช้ากว่าที่คาดการณ์โดยเฉพาะงบกลุ่มจังหวัด และงบกลางปี"

ทั้งนี้ แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศ อาทิ แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของสหรัฐฯ และความเสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลก

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังมีทิศทางปรับสูงขึ้นในอัตราที่ชะลอลงกว่าที่ประเมินไว้เดิมเล็กน้อยจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นสำคัญ โดยเฉพาะจากราคาอาหารสดที่ปรับลดลงตามผลผลิตผักและผลไม้ที่เพิ่มสูงขึ้นตามสภาวะอากาศที่เอื้ออำนวยและผลของฐานสูงจากภาวะภัยแล้งในปีก่อน ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ยังอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีทิศทางปรับสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีอย่างช้าๆ ตามปัจจัยด้านอุปทานที่ทยอยลดลงและการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ ส่วนการคาดการณ์เงินเฟ้อของสาธารณชนยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่ากลางของกรอบเป้าหมาย

ภาวะการเงินโดยรวมอยู่ในระดับผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ สภาพคล่องในระบบการเงินอยู่ในระดับสูง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ในระดับต่ำ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นที่ปรับลดลงเป็นผลจากปริมาณการออกพันธบัตรระยะสั้นของ ธปท.และรัฐบาลที่ลดลงเป็นสำคัญ ภาคธุรกิจสามารถระดมทุนได้เพิ่มขึ้นทั้งจากสินเชื่อสถาบันการเงินและตลาดทุนในช่วงที่ผ่านมา ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับลดลง และปัจจัยพื้นฐานด้านต่างประเทศของไทยปรับดีขึ้น ส่งผลให้เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้น

"คณะกรรมการฯ เห็นว่า การที่เงินบาทปรับแข็งค่ามากกว่าสกุลเงินภูมิภาคในบางช่วง อาจกระทบต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจ จึงเห็นควรให้ติดตามสถานการณ์ในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด" เลขานุการ กนง.ระบุ

คณะกรรมการฯ เห็นว่าระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ สามารถรับมือกับความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจการเงินทั้งในและต่างประเทศได้ดี แต่ยังต้องติดตามความเสี่ยงในบางจุด โดยเฉพาะพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น (search for yield) ในภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน ซึ่งอาจนำไปสู่การประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร (underpricing of risks) นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)

หากมองไปข้างหน้า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะปัจจัยด้านต่างประเทศ ในขณะที่ยังต้องติดตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ คณะกรรมการฯ จึงเห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนปรนต่อไป โดยพร้อมใช้เครื่องมือเชิงนโยบายที่มีอยู่เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพการเงินของประเทศ

"ปัจจัยสนับสนุนด้านต่างประเทศโดยเฉพาะส่งออกและท่องเที่ยวกลับมาเป็นแรงส่งที่ชัดเจน แต่ในประเทศยังไม่มีการเร่งตัวตาม ตรงนี้ต้องมีการติดตามว่าการกระจายตัวของการฟื้นตัวสำหรับปัจจัยในประเทศจะมีการฟื้นตัวกระจายตัวเมื่อไหร่ ขณะนี้ภาครัฐไม่ใช่แรงขับเคลื่อนหลักเพียงอย่างเดียว ดังนั้นเรื่องต่างประเทศจะเข้ามาชดเชยได้บ้าง โดยในการประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจครั้งต่อไปจะต้องมีการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจและองค์ประกอบเศรษฐกิจ โดยจะมีการนำผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมในภาคอีสานเข้ามาด้วย ซึ่งเบื้องต้นคาดมีผลกระทบอยู่ที่ 7,500 ล้านบาท ถือว่าไม่มากเมื่อเทียบกับตัวเลขจีดีพี แต่ในแง่ผลกระทบกับประชาชนถือว่าค่อนข้างรุนแรง

อีกทั้งเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นช้าที่คาดการณ์ ตรงนี้อาจเป็นการส่งสัญญาณว่าเงินเฟ้อจะไม่เข้ากรอบล่างในช่วงปลายปีนี้ตามคาดการณ์ แต่ขอดูในรายละเอียดก่อน อย่างไรก็ตามไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณในการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นการพิจารณาตามภาวะของเศรษฐกิจ" นายจาตุรงค์ กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ