พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังลงพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด และ จ.ชัยภูมิ เพื่อเตรียมความพร้อมเสนอแผนงานโครงการของกระทรวงฯ ในด้านการพัฒนาพื้นที่การเกษตรภาคอีสานไปสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตามนโยบายรัฐบาล ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ระหว่างวันที่ 21-22 ส.ค.นี้ ที่จังหวัดนครราชสีมา
รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ภาคอีสาน วางเป้าหมาย พัฒนาอีสานสู่มิติใหม่ “ศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง" แต่ด้วยพื้นที่ภาคอีสาน มีปัญหาด้านการเกษตรที่สำคัญ อาทิเช่น การขาดแคลนแหล่งน้ำ ทำการเกษตรในรูปแบบเดิมทำให้มีผลผลิตต่ำ และขาดการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร
กระทรวงเกษตรฯ ได้กำหนดแผนการดำเนินการเพื่อบรรลุยุทธศาสตร์การพัฒนาฯ 7 ด้านสำคัญ คือ 1.การบริหารจัดการน้ำ เพื่อให้มีน้ำเพียงพอ และลดความเสี่ยง 2.การยึดคืนพื้นที่ ส.ป.ก. พร้อมพัฒนา/จัดสรรให้เกษตรกรที่ยากไร้ ลดความเหลื่อมล้ำ 3.การเสริมสร้าง ศพก. ให้เข้มแข็ง เพื่อทำการเกษตรที่เหมาะสมส่งเสริมการทำเกษตรแปลงใหญ่ 4.การปรับเปลี่ยนการเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้/ผลผลิต โดยเฉพาะพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำ มีผลผลิตต่ำ และมีความเสี่ยง 5.การเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อการบริหารจัดการ การลดการใช้สารเคมี การใช้เทคโนโลยี การเพิ่มมูลค่า และ การตลาด 6.การเกษตรอินทรีย์ เพื่อให้ตรงความต้องการของผู้บริโภค และเพิ่มมูลค่า 7 โครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืนเพื่อสร้างความเข้มแข็งชุมชน และวางรากฐานการพัฒนาภาคการเกษตร
สำหรับการเดินทางลงพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด และ จ.ชัยภูมิ ครั้งนี้เป็นหนึ่งในแผนดำเนินการข้างต้นในเรื่องการส่งเสริมช่องทางการแปรรูปสินค้าเกษตรทั้งในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน และดำเนินการภายใต้โครงการ ฯ ซึ่งต้องมีการบริหารจัดการ และ เชื่อมโยงการตลาดที่ดี ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มมาก โดยกระทรวงเกษตรฯ จะเร่งพัฒนาเกษตรแปลงใหญ่ ให้จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชน ซึ่งรัฐบาลจะมีกองทุนรองรับ ทำให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ต่อยอดจากการลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และ สินค้ามีมาตรฐาน ไปสู่สินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น โดยเฉพาะการแปรรูปสินค้าข้าวในภาคอีสานที่เกษตรกรยังจำหน่ายผลผลิตขั้นต้น มูลค่าน้อย หากได้แปรรูปจะเพิ่มมูลค่าได้มาก เช่นข้าวขาวดอกมะลิ แปรรูป เพิ่มมูลค่าจาก 13-18 บาท/กก. เป็น 35-60 บาท/กก. ข้าว แปรรูปเป็นน้ำข้าวกล้องงอก เพิ่มมูลค่าจาก 20-25 บาท/กก. เป็น 250 บาท/กก.โดยตลาดที่จะมารองรับ คือ ประเทศกลุ่มแม่น้ำโขง ได้แก่ ลาว กัมพูชา และ เวียดนาม ซึ่งรัฐบาลจะมีการเชื่อมโยงทั้งเส้นทางคมนาคม และ เส้นทางการค้า
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังเตรียมเสนอแผนการปรับปรุงพนังกั้นน้ำชี ซึ่งชำรุดจากน้ำกัดเซาะ เนื่องจากมีความสูงไม่มาก ทำให้น้ำไหลล้นข้ามไป ทางกรมชลประทาน ได้วางแผนในการเสริมความสูง และอุดรอยรั่วซึมพนังกั้นน้ำ พร้อมปรับปรุงประตูระบายน้ำจำนวน 7 แห่ง งบประมาณ 990 ล้านบาท ซึ่งจะดำเนินการในปี 2561-2563 เพื่อป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำได้ 327,500 ไร่
"ทั้งหมดนี้ กระทรวงเกษตรฯ จะนำเสนอ ครม.สัญจร ในวันที่ 21-22 ส.ค. 60 ณ จ.นครราชสีมา เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมต่อไป"