นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติครั้งที่ 2 ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการดิจิทัล ระยะ 5 ปี (ปี 60-64) ที่มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อสร้างกลไกให้ทุกกระทรวงบูรณาการการทำงานโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมหนุนกลไกประชารัฐเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านประเทศสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล
นอกจากนี้ได้รับทราบความคืบหน้าการจัดตั้ง บริษัท โครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ จำกัด (NBN) และการจัดตั้ง บริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศและศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต จำกัด (NGDC) ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2560 โดยนายกรัฐมนตรีเร่งรัดให้ดำเนินการแล้วเสร็จตามกรอบเวลา
ที่ประชุมยังได้รับทราบความคืบหน้าโครงการเน็ตประชารัฐ ที่ได้วางโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไปแล้วกว่า 14,000 หมู่บ้าน จากเป้าหมาย 24,700 หมู่บ้าน โดยกระทรวงดีอีอยู่ระหว่างการหารือกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อกำหนดแนวทางพัฒนาระบบ e-Market Place กลาง และระบบจัดการร้านค้า (Point of Sale : POS) การพัฒนาระบบ e-Logistics และ e-payment โดยนายกรัฐมนตรีได้ขอให้ทุกกระทรวงคำนึงถึงผลประโยชน์จากการใช้เน็ตประชารัฐ ในการยกระดับการให้บริการสาธารณะสำหรับประชาชน
ด้านการจัดตั้งเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park Thailand) ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ได้เห็นชอบในการประกาศเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2560 ปัจจุบันมีความคืบหน้าในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง โดยที่ประชุมขอให้ดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
สำหรับสถานะการดำเนินการจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ในพื้นที่เป้าหมาย USO สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์ดำเนินการบริการอินเทอร์เน็ต USO พื้นที่ชายขอบในพื้นที่ประมาณ 3,920 หมู่บ้าน และพื้นที่ห่างไกล ประมาณ 15,732 หมู่บ้าน ซึ่งสามารถลงนามในสัญญาโครงการฯ เมื่อเดือนสิงหาคม 2560 โดยนายกรัฐมนตรีขอให้เร่งรัดการดำเนินการ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต
การบริการด้านสุขภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล โดยใช้ประโยชน์จากโครงข่ายเน็ตประชารัฐ ที่ดำเนินการทั้งในส่วนของระบบ Tele-Medicine เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแพทย์เฉพาะทาง และการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ระบบ อสม. Online เป็นการดำเนินการร่วมกับภาคเอกชนในการสร้างเครือข่ายสังคมออนไลน์เฉพาะกลุ่มสำหรับ หน่วยบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ และ อสม. เพื่อเป็นช่องทางการสื่อสารให้ อสม. ทั่วประเทศ จำนวน 200,000 คน ระบบ Smart Health ID การเชื่อมโยงข้อมูลเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการขอรับบริการจากโรงพยาบาล โดยการใช้บัตรประจำตัวประชาชนเพียงใบเดียว ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอให้ขยายผลการดำเนินการให้ครอบคลุมทั่วประเทศโดยเร็ว
ที่ประชุมฯ ยังได้เห็นชอบในกรอบหลักการของ (ร่าง) แผนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ระยะ 5 ปี (60 – 64) เพื่อให้คณะกรรมการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ดำเนินการเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบสำหรับใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนต่อไปด้วย
นายพิเชฐ กล่าวถึงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ว่า กระทรวงดิจิทัลฯ โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ได้เสนอโครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ระยะ 5 ปี ตั้งเป้าหมายปีแรก ในพื้นที่ตัวแทนภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และพื้นที่ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และมีแผนจะขยายให้ครอบคลุมในพื้นที่ 77 จังหวัดภายใน 5 ปี โดยที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักของกรอบการดำเนินการและกรอบวงเงินงบประมาณ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมที่สร้างสรรค์โดยคนไทย ลดการพึ่งพิงเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชน นอกจากนั้นยังให้ความเห็นชอบในมาตรการเร่งการนำสายสื่อสารลงใต้ดิน โดยเฉพาะการประโยชน์จากท่อร้อยสายใต้ดินที่มีอยู่แล้วในหลายพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีระยะทางกว่า 2,500 กิโลเมตร
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาให้ความเห็นชอบในเรื่องสำคัญๆ อีกหลายเรื่อง อาทิ เห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระยะ 5 ปี (60 – 64) ซึ่งกระทรวงดิจิทัลฯ ได้สรุปผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลฯ ตาม พ.ร.บ.การพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ.2560 โดยได้มีการทบทวนแผนพัฒนาดิจิทัลฯ ให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.การพัฒนาดิจิทัลฯ และเป็นการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการพิจารณา (ร่าง) พ.ร.บ.การพัฒนาดิจิทัลฯ พ.ศ. .... โดยมีความสอดคล้องกับ (ร่าง) กรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (60 – 64) รวมทั้งได้ทบทวนและยกร่างแผนปฏิบัติการดิจิทัลฯ ระยะ 5 ปี เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล โดยแปลงวิสัยทัศน์ระยะยาวตามแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอให้เน้นการบูรณาการทำงานร่วมกับทุกกระทรวง รวมทั้งบูรณาการการทำงานตามกลไกประชารัฐร่วมกับหน่วยงานภาคเอกชนและภาคประชาชน
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะด้าน 2 คณะ คือ คณะกรรมการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตาม พ.ร.บ.การพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 รวมถึงระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารกองทุนฯ เพื่อเป็นการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐด้วย
ส่วนการบริหารกิจการดาวเทียมสื่อสารของประเทศไทย ในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับดาวเทียมไทยคม 7 และไทยคม 8 ภายใต้สัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอให้เร่งแก้ปัญหา โดยคำนึงถึงความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย และให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ สำนักงาน กสทช. ยังได้รายงานต่อที่ประชุมทราบเกี่ยวกับมติคณะกรรมการ กสทช. เรื่องแนวทางการใช้คลื่นความถี่ สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล (IMT) และระบบคมนาคมขนส่งทางราง ย่านความถี่ 800/900 และคลื่นความถี่สำหรับระบบคมนาคมขนส่งทางราง ย่านความถี่ 400 เมกกะเฮิรตซ์
โครงการติดตั้งระบบโครงข่ายโทรคมนาคมของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยมีการเสนอเพื่อขออนุมัติให้ รฟท. ดำเนินการโครงข่ายเคเบิลใยแก้วของตัวเอง แบบโครงข่ายปิด (Private Network) และจัดให้มีระบบสำรองโครงข่าย (Redundant Network) โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกับบริษัท NBN โครงการเน็ตประชารัฐ และศูนย์ดิจิทัลชุมชน เป็นอันดับแรก เพื่อให้ระบบโครงข่ายและอุปกรณ์ทั้งหลายได้ใช้อย่างบูรณาการมีความคุ้มค่า ไม่เกิดความซ้ำซ้อน และลดต้นทุน โดยนายกรัฐมนตรีขอให้คำนึงถึงความคุ้มค่าในการดำเนินการ และเน้นการใช้ประโยชน์ของโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน
นายพิเชฐ กล่าวถึงการวางเครือข่ายเคเบิลใต้น้ำเพิ่มเติมเพื่อสอดรับกับโครงการ One Belt One Road ของจีนนั้นได้ดำเนินการโดย บมจ.กสท โทรคมนาคม (CAT) ส่วนหนึ่งจะเพิ่มเติมอุปกรณ์ที่เป็นความจุในประเทศ ส่วนที่สองเพิ่มเติมความจุต่อประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งกัมพูชา ลาว พม่า และการวางเคเบิลใต้น้ำเชื่อมไปยังฮ่องกง ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือกับผู้ร่วมทุนจากฮ่องกง
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังเห็นชอบในหลักการเรื่องการเพิ่มตัวเลขของเลขหมายโทรศัพท์ประจำที่ หรือเบอร์บ้าน จาก 9 หลัก เป็น 10 หลัก ซึ่งปัจจุบันไทยมีหมายเลขที่ใช้ 9 หลัก เหลือ 50 ล้านเลขหมาย จากเดิม 250 ล้านเลขหมาย ซึ่งทาง กสทช. ได้หารือกับกระทรวงดีอี และ บมจ.ทีโอที จะขยายความต้องการในอนาคต และเริ่มต้นทำงานเป็นเวลาหลายปี เนื่องจากกฎเกณฑ์สากลต้องแจ้งให้สหภาพโทรคมนาคม (ไอทียู) ทราบล่วงหน้า 2 ปี ซึ่งเมื่อมีการเพิ่มหมายเลขโทรศัพท์ประจำที่หรือเบอร์บ้านเป็น 10 หลัก จะทำให้มีเลขหลายเพิ่มขึ้นเป็น 500 ล้านหมายเลข และเพียงพอต่อการใช้งานอีกหลายปี และคาดว่าภายใน 3 ปีจะดำเนินการเปลี่ยนได้ทั้งหมด แต่ยืนยันว่า ระหว่างนี้เลขหมายยังเพียงพอต่อการให้บริการ ยังมีเหลืออยู่หลายสิบล้านเลขหมาย
"ในขั้นตอนจะมีการแจ้งไปยังไอทียู และภายใน 2 เดือนจะมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่รับผิดชอบเพิ่มหลักเลขหมาย แต่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนอุปกรณ์จำนวนหนึ่ง จึงต้องไปดูว่าจะมีการลงทุนอย่างไร" นายพิเชฐ กล่าว