นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงผลที่คาดว่าจะได้รับจากการดำเนินการตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 3 (ปี 2560 - 2564) (แผนพัฒนาตลาดทุนฯ) ตามที่คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2560 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการของแผนพัฒนาตลาดทุนฯ ไปแล้วนั้น เพื่อให้ตลาดทุนจะเป็นกลไกระดมทุนที่สำคัญของภาครัฐและภาคธุรกิจทุกขนาด โดยภาคธุรกิจจะสามารถใช้ตลาดทุนไทยในการตอบสนองความต้องการด้านการระดมทุนได้ครบถ้วนทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการ SME ที่สามารถเข้าถึงตลาดทุนได้สะดวกขึ้นผ่านช่องทางที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ
นอกจากนั้น ตลาดทุนไทยจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินค้าและบริการด้วยเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อสร้างโอกาสเข้าถึงเงินทุนและลดความเหลื่อมล้ำ
อีกทั้ง ตลาดทุนจะเป็นกลไกระดมทุนที่สำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน มีความพร้อมที่จะสนับสนุนภาคเศรษฐกิจจริงและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขันและเป็นธรรมต่อผู้เล่นทุกระดับ ทั้งในด้านกฎหมาย กฎเกณฑ์ และภาษี รวมทั้งมีมาตรฐานสากลในทุกด้าน มีธรรมาภิบาล มีการแข่งขันที่เปิดกว้างและเป็นธรรม และมีต้นทุนในการระดมทุนที่แข่งขันกับตลาดชั้นนำในภูมิภาคได้ โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาให้มูลค่าหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์คิดเป็น 1.5 เท่าของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) และมีมูลค่าตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนคิดเป็น 0.25 เท่าของ GDP
ตลาดทุนไทยจะมีความพร้อมในการเป็นแหล่งทุนของประเทศ CLMV และเป็นแหล่งลงทุนของนักลงทุนทั่วโลกที่สนใจลงทุนใน CLMV ได้หลากหลายสกุลเงินและรูปแบบสินทรัพย์ตามความต้องการของตลาด
นอกจากนี้ ตลาดทุนไทยจะมีความพร้อมด้านระบบโครงสร้างต่าง ๆ เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก รวมทั้งมีส่วนช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้ตลาดทุนไทยในการออมและลงทุนได้อย่างทั่วถึง ทำให้ประเทศมีความพร้อมรับมือกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ นอกจากนั้น ตลาดทุนไทยจะมีส่วนร่วมในการพัฒนาให้ประชาชนมีความรู้พื้นฐานทางการเงินที่เหมาะสม อันจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต
สำหรับแผนพัฒนาตลาดทุนฯ จัดทำโดยคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทยที่แต่งตั้งโดยคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 372/2558 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2558 มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน และมีผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กรมสรรพากร สภาธุรกิจตลาดทุนไทย สมาคมธนาคารไทย สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย สมาคมบริษัทจัดการลงทุน และสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ร่วมเป็นคณะกรรมการ และการดำเนินการตามแผนพัฒนาตลาดทุนฯ นี้ จะกำกับดูแลโดยคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทยข้างต้น เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นระบบ และต่อเนื่อง
"ตลาดทุนไทยมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการใช้ประโยชน์ของภาคเศรษฐกิจจริงและภาครัฐที่เพิ่มขึ้นผ่านการระดมทุนในตลาดทุน ตลอดจนการเป็นช่องทางการออมและการลงทุนของภาคประชาชนในระยะที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่ทิศทางของตลาดทุนโลกต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและความท้าทายในการแข่งขันที่มากขึ้นการเคลื่อนย้ายเงินทุนในตลาดเงินและตลาดทุนโลกที่เป็นไปอย่างเสรี ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี รวมถึงกระแสการเชื่อมโยงเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคที่เป็นไปอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้การลงทุนและจัดหาเงินทุนมีรูปแบบที่หลากหลาย สามารถดำเนินการได้โดยสะดวกและไม่จำกัดเฉพาะในประเทศอีกต่อไป ทำให้นักลงทุนและผู้ระดมทุนมีโอกาสและทางเลือกที่จะมุ่งไปยังประเทศที่สามารถตอบสนองความต้องการและบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายกฤษฎา กล่าว