นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานสัมมนาวิชาการของ ธปท. BOT Symposium 2017 ในหัวข้อ "เศรษฐกิจ คิดใหม่"ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะยาวนั้นนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ต่างมีความเห็นตรงกันว่าปัจจัยสำคัญที่สุด คือ ผลิตภาพ เพราะผลิตภาพสะท้อนถึงความสามารถในการจัดการ และพัฒนาระบบเศรษฐกิจให้สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดทางทรัพยากรในด้านต่างๆ ได้ ซึ่งหัวใจของผลิตภาพ คือ นวัตกรรม เพราะนวัตกรรมคือการขยายขอบเขตของสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างวัตถุหรือเทคโนโลยีที่แปลกใหม่ การพัฒนารูปแบบสินค้าและบริการที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือการเพิ่มปริมาณผลผลิตด้วยต้นทุนเท่าเดิม
แต่นวัตกรรมโดยลำพังอาจไม่เพียงพอ หากกระบวนการถ่ายทอดไม่สามารถส่งผลให้นวัตกรรมเหล่านั้นหยั่งรากลงในระบบเศรษฐกิจได้ในวงกว้าง การที่อัตราการขยายตัวของผลิตภาพในหลายประเทศรวมทั้งไทยที่ชะลอลงในช่วงที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงจากนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว บ่งชี้ถึงความไม่สมบูรณ์ของกระบวนการถ่ายทอดนวัตกรรม ผลิตภาพในระดับประเทศขยายตัวได้ช้า เพราะนวัตกรรมที่เกิดขึ้นไม่ได้ถูกถ่ายทอดไปยังเศรษฐกิจในวงกว้าง
"โจทย์ใหญ่ที่หลายประเทศรวมทั้งไทยเผชิญ จึงอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหันมาปรับโครงสร้าง ยกระดับกระบวนการผลิตให้เท่าทันเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมทั้งสนับสนุนการถ่ายโอนทรัพยากรจากธุรกิจที่มีผลิตภาพต่ำไปยังธุรกิจที่มีผลิตภาพสูงกว่า ความไร้ประสิทธิภาพของกระบวนการจัดสรรทรัพยากรเป็นต้นทุนค่าเสียโอกาสที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจ และของคนในสังคม นวัตกรรมที่ทรงพลัง จึงต้องเกิดขึ้นควบคู่กับกระบวนการถ่ายทอดนวัตกรรมและระบบการจัดสรรทรัพยากรที่ดี" นายวิรไท ระบุ
ดังนั้น การขับเคลื่อนนวัตกรรมต้องอาศัยปัจจัยเกื้อกูล 2 ประการ คือ 1.พลวัตของการเปลี่ยนแปลง และ 2.ความอดทนอดกลั้นเพื่อหวังผลในระยะยาว ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยนี้จะมีบทบาทมากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจและทัศนคติของเราเอง
ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวว่า ภาครัฐรวมทั้ง ธปท.เองจะต้องสนับสนุนพลวัตของการเปลี่ยนแปลงโดยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างและถ่ายทอดนวัตกรรม สร้างแรงจูงใจให้ธุรกิจนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ ป้องกันการผูกขาด ที่สำคัญภาครัฐเองต้องมีกระบวนการทบทวนและประเมินผลกระทบของกฎเกณฑ์ต่างๆ ทั้งที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน และที่คาดว่าจะออกใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะกฎเกณฑ์ที่ล้าสมัย ยุ่งยาก และซับซ้อนจะถือเป็นต้นทุนในการใช้ชีวิตและดำเนินธุรกิจ
นอกจากนี้ ภาครัฐควรมีบทบาทในการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในนวัตกรรม ซึ่งจำเป็นว่าต้องพึ่งแหล่งเงินทุนที่มีความต่อเนื่องแน่นอนในระยะยาว แต่ภาครัฐสามารถร่วมมือกับภาคธุรกิจ สถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัยในการสนับสนุนแหล่งเงินทุนดังกล่าวได้ การลงทุนของภาครัฐในลักษณะนี้จะช่วยให้ภาคธุรกิจเห็นโอกาสที่สามารถเกิดขึ้นได้
"ภาคธุรกิจจะลงทุนก็ต่อเมื่อมั่นใจว่ามีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนจากเทคโนโลยีต่างๆ การลงทุนของภาครัฐสามารถช่วยให้ภาคเอกชนเห็นว่าโอกาสนั้นมีอยู่จริง ดังนั้นโจทย์สำคัญของภาครัฐจึงไม่ได้อยู่ที่การลดต้นทุนทางการเงินหรือภาษีของการลงทุนให้เอกชนแต่เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรให้ธุรกิจกล้าที่จะลงทุน และมีความต้องการที่จะลงทุนใหม่ด้วย" นายวิรไทกล่าว
พร้อมระบุว่า นอกจากการแก้ไขกลไกตลาดที่ไม่สมบูรณ์แล้ว ภาครัฐสามารถมีบทบาทช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ผ่านการลงทุนส่งเสริมนวัตกรรมระดับแนวหน้า และเพิ่มพูนศักยภาพของเอกชน ภาครัฐไม่ควรมุ่งแต่จะซ่อมแซมเศรษฐกิจปัจจุบัน แต่ควรมุ่งที่จะส่งเสริมเศรษฐกิจในอนาคตโดยการเพิ่มความสามารถของกลไกตลาดที่จะขับเคลื่อนการลงทุนในระยะยาวด้วย ซึ่งความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเป็นองค์ประกอบสำคัญของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและโอกาสทางธุรกิจที่ตามมา
นอกจากบทบาทในการลงทุน การสร้างสภาพแวดล้อม บุกเบิก และผลักดันกลไกตลาดแล้ว ภาครัฐอาจเพิ่มบทบาทในการแก้ปัญหาการกระจุกตัวของโอกาสทางธุรกิจด้วยการถ่ายทอดนวัตกรรม เพื่อให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้น รวมทั้งประชาชนฐานรากมีส่วนร่วมมากขึ้นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมอย่างเต็มที่