กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เผยมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.00-33.20 ต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับปิดแข็งค่าที่ 33.08 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทยมูลค่า 8.0 พันล้านบาท และ 3.71 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยปรับตัวสูงขึ้นตามทิศทางตลาดโลก ส่วนเงินดอลลาร์ฟื้นตัวเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ โดยได้แรงหนุนจากความหวังครั้งใหม่ต่อแผนการปฏิรูปภาษีของรัฐบาลทรัมป์รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นเกินคาด ซึ่งส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ดีดตัวขึ้น
เหตุการณ์สำคัญของตลาดการเงินโลกในสัปดาห์นี้ อยู่ที่การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แม้มีแนวโน้มเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามเดิมแต่นักลงทุนคาดว่า เฟดจะให้รายละเอียดมากขึ้นเกี่ยวกับการลดขนาดงบดุล และตลาดจะจับตาประมาณการแนวโน้มดอกเบี้ย ภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงเครื่องบ่งชี้ทางเศรษฐกิจจากเฟดเพื่อประเมินว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งก่อนสิ้นปีนี้ตามแผนเดิมหรือไม่
"เรามองว่ามีโอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธันวาคม แต่ความเสียหายจากพายุเฮอริเคนและการชะลอตัวของการใช้จ่ายภาคครัวเรือนอาจทำให้เฟดปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อและชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในระยะถัดไป ส่วนฝั่งยูโรโซน คาดว่าธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะเริ่มลดมาตรการ QE หรือเข้าซื้อพันธบัตรในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 ขณะที่เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่ชะลอลง ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่เงินยูโรอาจจะปรับฐานในไตรมาส 4/2560 ซึ่งจะจำกัดความเสี่ยงด้านขาลงของดอลลาร์ในช่วงปลายปี ก่อนที่ดอลลาร์จะกลับมาอ่อนค่าอีกครั้งในปี 2561" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
สำหรับปัจจัยในประเทศ มองว่า กระแสเงินทุนไหลเข้าตลาดพันธบัตรไทยยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีเงินทุนไหลเข้าสู่พันธบัตรไทยรวมทุกช่วงอายุมากถึง 1 แสนล้านบาทในเดือนกันยายนเพียงครึ่งเดือน เทียบกับประมาณ 2 แสนล้านบาท ในช่วง 8 เดือนแรกของปี ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองจากทางการว่าอาจกระทบเสถียรภาพของตลาดการเงินไทยได้