นักบริหารเงินจากธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 33.12 บาท/ดอลลาร์ ใกล้ เคียงจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 33.13 บาท/ดอลลาร์
เงินบาทเริ่มปรับมาเป็นอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ หลังจากในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ ธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ออกมาส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งภายในปีนี้ ซึ่งทำให้ดอลลาร์สหรัฐปรับ ตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลอื่นๆ เงินบาทจึงเริ่มกลับมายืนอยู่เหนือระดับ 33.10 บาท/ดอลลาร์ได้
สำหรับวันพรุ่งนี้คาดว่าเงินบาทคงจะยัง sideway แต่ sentiment ปรับดีขึ้น ทั้งนี้ ตลาดคงรอดูปัจจัยสัปดาห์หน้าที่ โฆษกรัฐบาลสหรัฐจะออกมาเปิดเผยแผนการปฏิรูปด้านภาษี ว่าจะมีความก้าวหน้าจริงหรือไม่ หากมีความก้าวหน้าก็มีโอกาสที่ดอลลาร์ สหรัฐจะแข็งค่าไปได้ต่อ ประกอบกับสัปดาห์หน้าเป็นช่วงสิ้นเดือนที่มักจะมีความต้องการสกุลดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้น
นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.08-33.15 บาท/ดอลลาร์
- ปัจจัยสำคัญ
- เย็นนี้เงินเยนอยู่ที่ระดับ 112.46 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 112.48 เยน/ดอลลาร์
- ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1911 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1873 ดอลลาร์/ยูโร
- ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,670.49 จุด ลดลง 0.16 จุด (-0.01%) มูลค่าการซื้อขาย 54,494 ล้านบาท
- สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติซื้อสุทธิ 122.96 ล้านบาท(SET+MAI)
- กระทรวงพาณิชย์ แถลงตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือน ส.ค.60 โดยการส่งออกมีมูลค่า 21,224
พร้อมมั่นใจว่าการส่งออกทั้งปีนี้ จะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 7% อย่างแน่นอน ในขณะที่ภาวะเงินบาทแข็งค่าไม่ได้ส่งผล กระทบต่อการส่งออกโดยรวมในปีนี้มากนัก เนื่องจากผู้ส่งออกมีคำสั่งซื้อ และการ Quote ราคาไว้ล่วงหน้าแล้ว
- กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) กล่าวว่า กรณีที่ประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติ
สำหรับปัจจัยชี้นำสำคัญถัดไป ตลาดจะให้ความสนใจกับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยใน วันที่ 27 ก.ย. รวมทั้งความคืบหน้าของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจสำคัญจากรัฐบาลทรัมป์ อาทิ การปฏิรูปภาษี และการลงทุนขนาด ใหญ่ การเจรจา Brexit ระหว่างสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป ส่วนความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี ในระยะหลังส่งผล กระทบต่อตลาดอย่างจำกัด แต่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม
- TMB Analytics คาดการณ์ว่า ในไตรมาส 3/60 สัดส่วน NPL จะแตะจุดสูงสุดที่ 3% ของสินเชื่อคงค้าง คิดเป็น
สำหรับในปี 61 ด้วยมุมมองเศรษฐกิจที่เติบโตได้ 3.8% เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่ทำให้สินเชื่อกลับมาเติบโตด้วยคุณภาพที่ ดีขึ้นอีกครั้งโดยเฉพาะในธุรกิจขนาดใหญ่ จากการที่สัญญาณการลงทุนกลับมาดีขึ้นจากภาคการส่งออกฟื้นตัวต่อเนื่อง ปัจจัยเหล่านี้มีส่วน ช่วยผลักดันให้ NPL ของธุรกิจขนาดใหญ่ลดลงได้ ในส่วนของ SME และรายย่อย ยังต้องรอจังหวะการฟื้นตัวจากการบริโภคภาค เอกชน ด้วยปัจจัยราคาสินค้าเกษตรเป็นตัวแปรสำคัญ กอปรกับมาตรการของ ธปท.ที่ออกมาควบคุมการก่อหนี้ใหม่ สำหรับบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล โดยจำกัดรายได้ขั้นต่ำ ซึ่งจะช่วยให้การก่อตัวของ NPL มีแนวโน้มลดลง
- ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติคงนโยบายผ่อนคลายการเงินเชิงรุก ในการประชุมวันนี้ พร้อมประกาศว่าจะเดินหน้า
- ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) รายงานว่า เกาหลีใต้อาจจะเผชิญกับความไม่แน่นอนของกระแสเงินทุนต่างประเทศ
- บริษัท S&P Global Ratings ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ ประกาศปรับลดอันดับความ