ศูนย์วิจัยกสิกรฯ ชี้ D-SIBs ไม่กระทบเงินกองทุนฯ-เงินฝาก แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นสร้างเสถียรภาพป้องกันความเสี่ยงในอนาคต

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday September 27, 2017 11:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 2 ฉบับที่ประกาศเมื่อวันที่ 25 ก.ย. 60 ได้แก่ “แนวทางการระบุและการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ” (Domestic Systemically Important Banks หรือ D-SIBs) และ “รายชื่อธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ” ประจำปี 2560 ซึ่งประกอบด้วย 1. ธนาคารกรุงเทพ (BBL) 2. ธนาคารกรุงไทย (KTB) 3.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) 4. ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และ 5. ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เป็นไปตามมาตรฐานการกำกับดูแลสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์ Basel III ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเสี่ยงของวิกฤตในอนาคต หลังจากที่ประเทศต่างๆ ได้ผ่านพ้นวิกฤตซับไพร์ม

นอกจากนี้ เป็นไปตามแนวทางที่ธปท. ได้มีการหารืออย่างต่อเนื่องกับธนาคารพาณิชย์ในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้ประกาศดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการดำรงเงินกองทุน ตลอดจนการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ที่เป็น D-SIBs และไม่กระทบใดๆ ต่อเงินฝากของประชาชนที่ธนาคารพาณิชย์ทั่วไป และธนาคารพาณิชย์ที่เป็น D-SIBs ซึ่งได้รับการคุ้มครองอยู่แล้วจากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก

"ประกาศของธปท. เกี่ยวกับแนวทางการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ที่เป็น D-SIBs ดังกล่าว จึงเสมือนเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินการเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคตตามมาตรฐานสากล Basel III อันเป็นการช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพให้ระบบการเงินของไทย ทั้งนี้ ระบบธนาคารพาณิชย์ของไทยในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งตามมาตรฐานสากลอยู่แล้ว โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ อยู่ที่ 17.9% และ 15.2% ตามลำดับ" เอกสารศูนย์วิจัยฯ ระบุ

ประกาศของธปท. ในการกำหนดรายชื่อธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ หรือ Domestic Systemically Important Banks (D-SIBs) ดังกล่าวนั้น เป็นไปตามมาตรการกำกับดูแลสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์ Basel III ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล โดย Basel III ก็ได้มีการกำหนดมาตรการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญต่อระบบการเงินโลก หรือ Global Systemically Important Banks (G-SIBs) ไว้เช่นกัน

ทั้งนี้ Basel III เป็นหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสถาบันการเงิน ซึ่งสะท้อนเจตนารมณ์ที่ดีที่เกิดขึ้นภายหลังวิกฤตการเงินโลก เพื่อให้สถาบันการเงินที่ทำหน้าที่สำคัญในการเป็นตัวกลางทางการเงิน มีฐานะทางการเงินที่แข็งแรง มั่นคง และสามารถให้บริการทางการเงินสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง และในขณะนี้ ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยอยู่ระหว่างทยอยใช้เกณฑ์ของ Basel III ซึ่งจะมีผลเต็มที่ในปี 2562

สำหรับธนาคารพาณิชย์ 5 แห่งที่ธปท. กำหนดให้เป็น “ธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ” นั้น พบว่า ทุกธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนฯ ที่สูงกว่าเกณฑ์ที่ธปท. กำหนดทั้งในปัจจุบัน และที่ต้องดำรงในปี 2563 อยู่แล้ว

โดยธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 แห่ง ซึ่งถูกกำหนดเป็น D-SIBs ตามประกาศล่าสุดของธปท. นั้น จะมีความแตกต่างไปจากธนาคารพาณิชย์ทั่วไป ตรงที่จะถูกกำกับดูแลในเรื่องต่างๆ อย่างเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งเป็นเพราะธนาคารที่เป็น D-SIBs มีความเชื่อมโยงกับสถาบันการเงินและระบบการเงินสูง มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีความซับซ้อน และเป็นผู้ให้บริการหลักในผลิตภัณฑ์ทางการเงินหรือโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ

ดังนั้นแล้ว เกณฑ์การดำรงเงินกองทุนและข้อกำหนดอื่นๆ ที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับธนาคารที่เป็น D-SIBs จะช่วยทำให้ธนาคารพาณิชย์ที่เป็น D-SIBs สามารถที่จะรองรับผลกระทบทางลบที่อาจจะเกิดขึ้นได้ดีขึ้น ซึ่งก็จะเป็นการลดทอนการส่งผ่านผลกระทบจากสถาบันการเงินไปยังระบบการเงินและระบบเศรษฐกิจ รวมถึงจะช่วยส่งเสริมให้ระบบสถาบันการเงินของประเทศมีเสถียรภาพและได้รับการยอมรับตามมาตรฐานสากล

ทั้งนี้ ประกาศธปท. ดังกล่าว มีผลทำให้ธนาคารพาณิชย์ที่เป็น D-SIBs ทั้ง 5 แห่ง ต้องดำรงเงินกองทุนส่วนเพิ่ม ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยแนวทางการระบุและการกำกับดูแล D-SIBs ที่เป็นส่วนที่นอกเหนือไปจากเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนตาม Basel III สำหรับธนาคารพาณิชย์ทั่วไป นอกจากนี้ ธปท. ก็จะมีมาตรการกำกับดูแลอื่นๆ อาทิ กำหนดให้มีการส่งรายงาน และจัดวาระการประชุมของคณะกรรมการของธนาคาร เป็นต้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ