นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาที่ผู้ค้าท้องถิ่นรับซื้อที่จังหวัดเพชรบูรณ์สำหรับข้าวโพดผัก ความชื้นไม่เกิน 30% ราคาอยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 4.10-4.20 บาท ข้าวโพดเมล็ด ความชื้นไม่เกิน 30% กก.ละ 5.30-5.35 บาท และข้าวโพดเมล็ด ความชื้นไม่เกิน 14.5% กก.ละ 7.30-7.35 บาท ส่วนที่จังหวัดนครราชสีมา ข้าวโพดเมล็ด ความชื้นไม่เกิน 14.5% กก.ละ 7.30-7.50 บาท ส่วนราคาที่ไซโลรับซื้ออยู่ที่ กก.ละ 7.25-7.30 บาท และโรงงานอาหารสัตว์รับซื้อ กก.ละ 8.00 บาท
"ราคาข้าวโพดที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นผลมาจากการใช้โมเดล 3 ประสาน ทำการเชื่อมโยงการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ระหว่างเกษตรกร พ่อค้าคนกลาง และโรงงานอาหารสัตว์ ซึ่งได้นำร่องที่จังหวัดนครราชสีมา และได้ขยายต่อไปยังจังหวัดที่ปลูกข้าวโพดอื่นๆ และยังได้ใช้มาตรการเพิ่มเติม โดยได้กำหนดให้ผู้รวบรวมข้าวโพด ต้องแจ้งปริมาณ สถานที่เก็บ ปิดราคารับซื้อ ทำให้ทราบความเคลื่อนไหวของราคา ป้องกันการกดราคารับซื้อ ส่วนโรงงานได้ขอความร่วมมือให้รับซื้อที่ กก.ละ 8 บาท ทำให้ดูแลราคาได้ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง" นางอภิรดี กล่าว
นอกจากนี้ ยังได้มีมาตรการเสริมโดยการสนับสนุนสินเชื่อให้กับสหกรณ์การเกษตร เพื่อรวบรวมผลผลิตจากเกษตรกรในราคาที่เป็นธรรมก่อนที่จะนำมาขายให้กับโรงงานผลิตอาหารสัตว์ โดยรัฐบาลจะชดเชยอัตราดอกเบี้ยให้ 3% รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น 45 ล้านบาท
สำหรับมันสำปะหลัง รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ราคาได้ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยราคาหัวมันสด เชื้อแป้ง 25% ที่จังหวัดนครราชสีมา อยู่ที่ กก.ละ 1.95 บาท มันเส้นคลังสินค้า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่ที่ กก.ละ 5.00-5.80 บาท คลังสินค้า จังหวัดชลบุรี อยู่ที่ กก.ละ 5.40-5.80 บาท ส่วนราคาแป้งมัน คลังสินค้ากรุงเทพฯ และปริมณฑล อู่ที่ กก.ละ 10.90-11.20 บาท ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นตามราคาส่งออกที่สูงขึ้น จากความต้องการซื้อมันเส้นและแป้งมันจากต่างประเทศที่มีมากขึ้น โดยราคาส่งออกมันเส้นอยู่ที่ 187 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือคิดเป็นมันเส้นที่ กก.ละ 6.20 บาท และแป้งมัน 360 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือคิดเป็นราคาแป้ง กก.ละ 11.93 บาท
ทั้งนี้ ราคามันสำปะหลังที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นผลมาจากมาตรการเชื่อมโยงตลาดล่วงหน้าให้กับกลุ่มเกษตรกรที่ผลติมันเส้นสะอาดกับโรงงานเอทานอล การเชื่อมโยงตลาดระหว่างเกษตรกรกับกลุ่มผู้เลี้ยงปศุสัตว์ และผู้แปรรูปมันสำปะหลัง ที่นำไปทำเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม เช่น อาหารเด็ก อาหารผู้สูงวัยขนมขบเคี้ยว เป็นต้น
ขณะเดียวกันผลจากการขอความร่วมมือสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย สมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย และสมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้ร่วมมือกันในการไม่ขายตัดราคาหรือขายราคาต่ำเกินจริงประสบผลสำเร็จ ทำให้ราคาส่งออกปรับตัวดีขึ้น และยังได้รับผลดีจากการที่กระทรวงพาณิชย์นำคณะผู้แทนการค้าออกเดินทางไปเจรจาขายมันสำปะหลังในประเทศต่างๆ และมีคำสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มขึ้น เช่น ตุรกีที่ซื้อมันสำปะหลังอัดเม็ดกว่า 9 แสนตัน มูลค่ากว่า 5 พันล้านบาท รวมถึงการเปิดตลาดเพิ่มเติมทั้งในจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย ที่เป็นตลาดเดิม