นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมคณะกรรมการความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานแก้ไขอุปสรรคการทำธุรกิจต่อเนื่องหลังจากที่ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ปรับอันดับความยากง่ายการทำธุรกิจของไทยในปีนี้ดีขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 26 จาก 46 หรือดีขึ้น 20 อันดับ เพื่อทำให้อันดับในปีหน้าดีขึ้นกว่านี้ เพราะถึงแม้ว่าอันดับของไทยจะดีขึ้น แต่ของประเทศคู่แข่งก็ปรับตัวขึ้นเหมือนกัน และเป็นการปรับตัวดีขึ้นในทุกมิติ ถ้าไทยไม่พัฒนาก็จะเสียเปรียบ
"ในปีหน้าทุกหน่วยงานต้องทำงานแบบจี้ติดเหมือนปีนี้ เพื่อให้อันดับดีขึ้น คะแนนในส่วนที่เคยดีอยู่แล้วต้องไม่ตกลง ซึ่งในปีนี้ถือว่าไทยทำได้ดี เป็นผลจากการแก้ไขปัญหามาตลอดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารโลกจัดให้ไทยเป็น 1 ใน 10 ประเทศของโลก ที่มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด" นายสมคิด กล่าว
นายสมคิด กล่าวว่า ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) นำข้อมูลจัดอันดับความยากง่ายธุรกิจของไทยที่ดีขึ้นไปเผยแพร่ในการประชุมในการประชุมเวิลด์อีโคโนมิกฟอรัม (WEF) ในครั้งต่อไป เพื่อให้นักลงทุนทั่วโลกรับทราบ ซึ่งที่ประเทศไทยดำเนินการดีขึ้น ซึ่งจะมีผลกับการจัดอันดับขีดความสามารถการแข่งขันของไทยดีขึ้นควบคู่กันไปด้วย
ทั้งนี้ ในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญการปฏิรูปประเทศและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการจัดอันดับความยากง่ายการทำธุรกิจของไทยให้ดีขึ้น จากเดิมได้อยู่ที่อันดับ 45-49 มาโดยตลอดไม่สามารถปรับเพิ่มขึ้นมาได้จนถึงปีนี้ ซึ่งทุกหน่วยงานได้ทำงานอย่างหนักเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ โดยจ้างธนาคารโลกที่เป็นผู้จัดอันดับมาให้คำปรึกษาว่าจะให้ประเทศไทยแก้ไขจุดไหนบ้าง เพื่อให้อันดับของประเทศดีขึ้น
สำหรับการจัดอันดับความยากง่ายการทำธุรกิจของประเทศในภูมิภาคอาเซียน ไทยยังเป็นรองประเทศสิงคโปร์ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 2 เท่ากับปีก่อนและประเทศมาเลเซีย ซึ่งอยู่ที่อันดับ 24 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ที่อันดับ 23 ส่วนประเทศเวียดนามอยู่ที่อันดับ 68 ดีขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ที่อันดับ 82 และประเทศอินโดนีเซียที่อันดับ 72 ดีขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ที่อันดับ 91