รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เปิดเผยว่า นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ลงนามในบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตอบข้อหารือกรณีกรมธนารักษ์ นำที่ดินสถานะที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ สฎ. 958 ใน ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 16 ไร่ 1งาน 53 ตารางวา ตั้งอยู่ปลายรันเวย์ท่าอากาศยานนานาชาติเกาะสมุยให้ บมจ.การบินกรุงเทพ หรือสายการบินบางกอกแอร์เวย์สเช่า
โดยคณะกรรมการกฤษฏีกา (คณะที่ 7) ได้พิจารณาข้อหารือของกรมธนารักษ์แล้ว มีความเห็นดังนี้ ประเด็นแรก ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันนั้น หากจะนำที่ดินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น จะต้องดำเนินการถอนสภาพตามกฎหมายก่อน ซึ่งต่อมาแม้กรมธนารักษ์จะนำที่ดินไปขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุ แต่ยังถือว่าที่ดินแปลงนี้ยังคงเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน เพราะไม่ปรากฎว่าที่ดินดังกล่าวได้ถูกถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกันแต่ประการใด
ดังนั้น เมื่อที่ดินดังกล่าวยังไม่ถูกถอนสภาพจากการเป็นสาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 แม้ต่อมากรมธนารักษ์นำไปขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุไว้เป็นแปลงหมายเลขทะเบียนที่ สฎ. 958 ที่ดินแปลงนี้ยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกันอยู่ตลอดมา จึงไม่อยู่ในความหมายของที่ราชพัสดุตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518
ประเด็นที่สอง หากที่ดินบริเวณดังกล่าวไม่มีสถานะเป็นที่ราชพัสดุ สัญญาที่หน่วยงานของรัฐ (กรมธนารักษ์) ทำกับเอกชน (บมจ.การบินกรุงเทพ) จะตกเป็นโมฆะหรือไม่ กรณีสัญญาเป็นโมฆะ ในฐานะรัฐจะคุ้มครองให้ความเป็นธรรมแก่เอกชนผู้เข้ามาเป็นคู่สัญญาโดยสุจริตได้หรือไม่ เพียงใดนั้น เห็นว่า ข้อหารือในประเด็นนี้เป็นเรื่องข้อกำหนดในสัญญา มิใช่ปัญหาข้อกฎหมายที่คณะกรรมการกฤษฎีกาจะพิจารณาให้ความเห็นได้