PwC เผยผลสำรวจซีอีโอเอเปก ยกไทยติดโผอันดับน่าลงทุนจากต่างชาติ หลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday November 14, 2017 12:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจ APEC CEO Survey 2017 ที่ใช้เผยแพร่ในการประชุมสุดยอดผู้นำ APEC CEO Summit ประจำปี 2560 ซึ่งทำการสำรวจผู้บริหารในกลุ่มประเทศความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ เอเปก จำนวนกว่า 1,400 รายใน 21 ประเทศ พบว่า ในปีนี้มีซีอีโอเอเปก 37% ที่แสดงความเชื่อมั่นมากว่าธุรกิจและรายได้ของบริษัทในอีก 12 เดือนข้างหน้าจะเติบโตขึ้น ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีนับตั้งแต่ปี 2557 และเพิ่มขึ้นจาก 28% ในปีที่ผ่านมา แม้มีปัจจัยความไม่แน่นอนของนโยบายทางการค้าและความตึงเครียดทางการเมืองของประเทศสมาชิกเอเปกหลายราย

นอกจากนี้ 50% ของผู้บริหารเอเปกยังมีแผนที่จะเพิ่มการลงทุนในตลาดโลก (รวมทั้งประเทศที่อยู่นอกภูมิภาคเอเปก) มากขึ้น เปรียบเทียบกับ 43% ในปี 2559 โดยพบว่า 71% ของซีอีโอที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในปีนี้ จะมุ่งขยายตลาดไปในภูมิภาคเอเปกด้วยกัน ขณะที่ 63% คาดว่าจะขยายการลงทุนไปสู่ตลาดโลกมากขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า

สำหรับประเทศที่ถูกจับตาให้เป็นเป้าหมายของการลงทุนภายในประเทศ (Domestic investment) มากที่สุดในปีนี้ได้แก่ เวียดนาม รัสเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย ในทางกลับกันประเทศที่ถูกจัดให้เป็นเป้าหมายของการลงทุนจากต่างประเทศ (Overseas investment) มากที่สุด ได้แก่ เวียดนาม จีน อินโดนีเซีย สหรัฐอเมริกา และ ไทย ตามลำดับ นอกจากนี้ อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ ซีอีโอมาเลเซียและซีอีโอเวียดนามที่ถูกสำรวจมากถึง 89% และ 86% ยังคาดที่จะขยายธุรกิจของตนสู่ตลาดโลกอีกด้วย

นายศิระ กล่าวว่า สาเหตุที่ผู้บริหารเอเปกในปีนี้จัดอันดับให้ไทยติดอันดับประเทศเป้าหมายการลงทุนที่น่าสนใจและคาดว่าจะได้รับเม็ดเงินจากการลงทุนของต่างประเทศมากขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า เนื่องมาจากความพยายามอย่างต่อเนื่องของไทยในการออกมาตรการและนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ดึงดูดความน่าสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ รวมทั้งการปรับปรุงแก้ไขข้อกฎหมายที่ล้าหลัง เพื่อสร้างความน่าดึงดูดในการลงทุนให้กับประเทศ นอกจากนี้การดำเนินนโยบายของภาครัฐภายใต้โรดแมพ ไทยแลนด์ 4.0 ที่มุ่งพัฒนาประเทศไปสู่การเพิ่มคุณค่าให้กับแรงงานและระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มากขึ้น ยังช่วยเชื่อมต่อไทยกับประชาคมโลก ซึ่งทั้งหมดทำให้ไทยมีความน่าสนใจและกลายเป็นเป้าหมายของการเข้ามาลงทุนของนักธุรกิจต่างชาติมากขึ้น

“อีกแรงหนุนสำคัญที่ทำให้ต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในไทย คือ ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศที่มีการปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น การฟื้นตัวของตัวเลขการส่งออก การท่องเที่ยว และการบริโภคของครัวเรือน ซึ่งถือเป็นปัจจัยสนับสนุนของความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น"

ทั้งนี้ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย หรือ จีดีพี ในช่วงไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 3.7% เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกขยายตัว 3.5% นอกจากนี้ ในรายงานการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ หรือ Doing Business 2018 ของธนาคารโลกที่ผ่านมา ยังจัดให้ไทยมีอันดับดีขึ้น โดยไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ง่ายต่อการเข้าไปทำธุรกิจอยู่ในอันดับที่ 26 จากอันดับที่ 46 ในปีก่อน จากจำนวนทั้งหมด 190 ประเทศทั่วโลก และยังเป็นประเทศอันดับที่ 3 ในภูมิภาคอาเซียน รองจาก สิงคโปร์ และ มาเลเซีย ห่วงข้อจำกัดทางการค้า-เคลื่อนย้ายแรงงานเข้มกระทบธุรกิจ

นายศิระ กล่าวต่อว่า ความเชื่อมั่นของซีอีโอเอเปกที่เพิ่มขึ้นยังมีส่วนกระตุ้นให้ความตระหนักถึงความสำคัญของนวัตกรรมที่จะถูกนำมาใช้ในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตมีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งซีอีโอในกลุ่มอาเซียนที่มองว่า ระบบอัตโนมัติ (Automation) จะเป็นตัวแปรสำคัญของการขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กรไปสู่การพัฒนากำลังแรงงานในรูปแบบดิจิทัล โดย 58% ของซีอีโออาเซียนระบุว่า ได้ทำการเปลี่ยนถ่ายระบบงานบางอย่างผ่านการใช้ระบบอัตโนมัติแล้ว ขณะที่ 40% กำลังลงทุนในเทคโนโลยีเกิดใหม่และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine learning) และอีก 41% ระบุว่า พนักงานมีทักษะในการใช้เครื่องมือระบบอัตโนมัติใหม่ๆ อย่างไรก็ดี ประเด็นที่ซีอีโอเอเปกยังมีความกังวลเพิ่มขึ้นด้วย คือ ความสามารถในการสรรหาทักษะที่ต้องการเพื่อให้องค์กรสามารถแข่งขันในเวทีระดับโลก

ด้านนายบ็อบ มอริตซ์ ประธาน บริษัท PwC โกลบอล กล่าวว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริหารเอเปกในปีนี้น่าจะช่วยผลักดันให้เอเปกสามารถเพิ่มบทบาทในเวทีโลก และสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมการควบรวมต่างๆ เพิ่มขึ้น เห็นได้จาก 71% ของซีอีโอที่ถูกสำรวจ คาดหวังที่จะหาโอกาสในการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ หรือกิจการร่วมค้าเพิ่มขึ้นในอนาคต

อย่างไรก็ดี ซีอีโอเอเปกมีความกังวลเกี่ยวกับเงื่อนไขและข้อจำกัดทางการค้าเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเคลื่อนย้ายแรงงานและสินค้าถือได้ว่าเป็นประเด็นสำคัญของการหารือกันในการประชุมเอเปกครั้งนี้ เพราะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการแข่งขันและการเติบโตขององค์กร โดย 30% ของผู้บริหารที่ถูกสำรวจต้องการให้เอเปกเป็นเวทีในการหารือร่วมกันเพื่อหาทางอ อกให้กับทิศทางของการเคลื่อนย้ายแรงงานในอนาคต

“เศรษฐกิจเอเปกมีศักยภาพในการเป็นแหล่งทดสอบที่สำคัญของการพัฒนากำลังแรงงานด้านดิจิทัลในอนาคต โดยภาคธุรกิจส่วนใหญ่ตระหนักดีว่าทักษะใดที่พวกเขาต้องการ ขณะที่ภาครัฐและเอกชนเองก็ต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างแนวทางในการฝึกอบรมพัฒนา และเข้าถึงทักษะแรงงานเหล่านั้น"นายบ็อบ กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ