นายณัฐพล รังสิตพล เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวว่า สมอ. กำหนดให้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็ก จำนวน 2 มาตรฐาน คือ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน มอก. 1479-2558 และมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็น มอก. 2012-2558 ต้องเป็นไปตามมาตรฐานฉบับใหม่ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป ผู้ทำ ผู้นำเข้า จะต้องขออนุญาตทำและนำเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวตามมาตรฐานฉบับนี้
ปัจจุบันมีผู้ได้รับอนุญาตให้ทำตาม มอก. 1479-2541 จำนวน 39 ราย อนุญาตให้นำเข้า จำนวน 126 ราย และอนุญาตให้ทำตาม มอก. 2012-2543 จำนวน 28 ราย อนุญาตให้นำเข้า จำนวน 154 ราย ดังนั้น หากผู้ประกอบการต้องการรักษาสิทธิ์ในการผ่อนผันเพื่อประกอบกิจการตามใบอนุญาตเดิม จะต้องยื่นคำขอตาม มอก. 1479-2558 และ มอก. 2012-2558 กับ สมอ. ก่อนวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 เท่านั้น จึงจะได้รับสิทธิผ่อนผันให้ประกอบกิจการตามใบอนุญาตเดิมได้ตามกฎหมาย
การบังคับใช้มาตรฐานดังกล่าว มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ปลอดภัยจากการใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เนื่องจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวใช้เป็นวัตถุดิบหลักในอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ เป็นจำนวนมาก เช่น โครงสร้างงานก่อสร้างขนาดใหญ่ การผลิตท่อเหล็ก การผลิตถังแก๊ส การผลิตชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ การผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า การผลิตเฟอร์นิเจอร์เหล็ก และการผลิตตู้คอนเทนเนอร์ เป็นต้น ซึ่งหากนำเหล็กด้อยคุณภาพไปใช้อาจเกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และในขณะเดียวกันยังเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศอีกด้วย
นายณัฐพล กล่าวว่า สมอ. กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน โดยให้แสดงเครื่องหมายมาตรฐาน ชื่อผู้ทำหรือโรงงานที่ทำ หรือเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนและชื่อผู้ที่ได้รับอนุญาต ที่ม้วนของเหล็กให้เห็นได้ง่ายและชัดเจนด้วย ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย และผู้นำเข้า ต้องผลิต จำหน่าย และนำเข้าเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการจะต้องดำเนินการตามข้อกำหนดตามมาตรฐานใหม่นี้ด้วย