นักบริหารเงินจากธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 32.62 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัว จากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 32.63 บาท/ดอลลาร์
วันนี้เงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบมาก คาดว่าเป็นช่วงที่ตลาดยังรอดูความชัดเจนของ event สำคัญในวันพรุ่งนี้ คือ รอดูว่าสภาคองเกรสสหรัฐจะมีการออกมาตรการหรืออนุมัติวงเงินงบประมาณระยะสั้นออกมาใช้จ่าย เพื่อเลี่ยงการปิดบางหน่วย งานของสหรัฐ รวมทั้งรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในช่วงปลายสัปดาห์นี้ด้วย
"วันนี้บาทเคลื่อนไหวแคบมากๆ ไม่ถึง 10 สตางค์ เป็นช่วง wait & see นักลงทุนรอดู event สำคัญพรุ่งนี้ เพราะ จะเป็นเดตไลน์ว่าสภาของสหรัฐจะอนุมัติงบประมาณชั่วคราวออกมาใช้ เพื่อเลี่ยงการปิดหน่ยงานของรัฐหรือไม่" นักบริหารเงินระบุ
นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.50 - 32.70 บาท/ดอลลาร์
- เย็นนี้เงินเยนอยู่ที่ระดับ 112.64 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 112.45 เยน/ดอลลาร์
- ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1790 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1797 ดอลลาร์/ยูโร
- ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,703.37 จุด เพิ่มขึ้น 8.98 จุด (+0.53%) มูลค่าการซื้อขาย 47,566 ล้านบาท
- สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 1,094.66 ลบ. (SET+MAI)
- ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน พ.
ย.60 อยู่ที่ 78.0 จาก 76.7 ในเดือน ต.ค.60 โดยเป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และเป็นระดับสูงสุดในรอบ 33
เดือน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 65.2, ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำอยู่ที่ 72.7 และดัชนี
ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 96.1 ทั้งนี้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเข้าสู่ช่วงขาขึ้น และคาดว่าจะเข้าสู่ระดับปกติที่ 100
ได้ในช่วงไตรมาสแรก ปี 61
- ม.หอการค้าไทย ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 4% จากเดิม 3.9% เนื่องจากมีหลายปัจจัยช่วยหนุน ทั้ง
ภาคการส่งออก, การท่องเที่ยว และที่สำคัญคือมาตรการของภาครัฐที่ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยตั้งแต่ระดับฐานราก ระดับกลาง
จนถึงระดับบน ใน 2 มาตรการสำคัญคือ ช็อปช่วยชาติ และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งคาดว่าช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เพิ่มขึ้นได้อีก
0.2-0.3% จากเดิม ขณะที่ปี 61 ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสโตได้ถึง 4.5% หากมีการขับเคลื่อนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของ
รัฐได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะโครงการ EEC รวมทั้งมีการจัดการเลือกตั้งเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินสะพัดลงสู่ท้องถิ่นจาก
การจัดกิจกรรมเพื่อเตรียมเข้าสู่การเลือกตั้ง
- โฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนของเอกชนในปี 2560 เริ่มมีการฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน โดย
ในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ที่ระดับ 2% จากปี 2559 ที่ขยายตัวเพียง 0.4% ซึ่งการฟื้นตัวดังกล่าวถือเป็นสัญญาณที่ดีกับภาพรวม
เศรษฐกิจของประเทศ หลังภาคการส่งออกที่เริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เชื่อว่าปัจจัยเสริมต่าง ๆ นี้จะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทย
ในปี 2560 มีโอกาสขยายตัวได้ถึง 4%
- นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เตรียมนำเสนอกรอบวงเงินในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบ
การ SMEs ประมาณ 2 แสนล้านบาท เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ภายในสิ้นปีนี้ โดยคาดว่าจะทำให้เกิดการหมุน
เวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย 1.แพ็คเกจส่งเสริมและช่วยเหลือที่ไม่ใช่ด้านการเงิน และเพ็คเกจส่ง
เสริมและช่วยเหลือด้านการเงิน
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ประเมินว่าทิศทางค่าเงินบาทในปี 61 ยังมีความผันผวน โดยช่วงครึ่งปีแรกคาดว่า
เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.30-33.50 บาท/ดอลลาร์ ส่วนครึ่งปีหลังเคลื่อนไหวในกรอบ 31.75-32.25 บาท/ดอลลาร์
โดยค่าเงินบาทในปี 61 จะอยู่ที่เฉลี่ย 31.75 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับที่แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 4 ปี
- บิตคอยน์ ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัล พุ่งขึ้นเหนือระดับ 14,000 ดอลลาร์ในวันนี้ แตะระดับที่ 14,399.99 ดอลลาร์ นับ
เป็นสถิติที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 40% แล้วในเดือนนี้ และยังเป็นการปรับตัวขึ้นทำสถิติใหม่ภายในระยะเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง หลังจากที่
บิตคอยน์ดีดตัวขึ้นพุ่งขึ้นเหนือระดับ 12,000 ดอลลาร์ไปเมื่อวาน
- กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้แสดงความพอใจที่จีนมีความพยายามในการควบคุมความเสี่ยงด้านการ
เงิน พร้อมกับแนะนำให้จีนเดินหน้าใช้มาตรการต่างๆ เพื่อปรับปรุงเสถียรภาพด้านการเงินต่อไป พร้อมระบุว่าตลาดการเงินของจีนมี
การพัฒนาอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งระบบการเงินของจีนเป็นระบบที่มีขนาดใหญ่ มีพลวัต และ
มีการเชื่อมต่อกันเป็นอย่างดี และถือว่าการออกกฎระเบียบและการกำกับดูแลในภาคธนาคาร ธุรกิจประกัน และหลักทรัพย์ของจีนนั้น
สอดคล้องกับมาตรฐานระดับโลก
- ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยว่า BOJ จะเดินหน้านโยบายผ่อนคลายทางการเงิน "ขนานใหญ่" ต่อ
ไป เพื่อจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำมาเป็นเวลานาน ขณะเดียวกันก็จะประเมินผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อ
ปรับนโยบายให้มีความเหมาะสมต่อไป
- นักลงทุนในตลาดการเงินจับตากระทรวงแรงงานสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือน
พ.ย.และสภาคองเกรสสหรัฐเตรียมลงมติเพื่ออนุมัติงบประมาณการใช้จ่ายชั่วคราวของรัฐบาลในวันพรุ่งนี้
--อินโฟเควสท์ โดย กษมาพร กิตติสัมพันธ์/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--