นายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เผยยอดการขอใบอนุญาตประกอบกิจการ (ร.ง.4) และขยายโรงงานในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ย.) มีจำนวนทั้งสิ้น 4,710 โรงงาน มูลค่าการลงทุนกว่า 4.74 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการขอใบอนุญาตประกอบกิจการและขยายกิจการในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) จำนวน 529 โรงงาน มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 1.43 แสนล้านบาท โดยยอดขอใบอนุญาตประกอบกิจการและขยายโรงงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากตัวเลขการลงทุนที่สูงต่อเนื่อง การขยายตัวของความต้องการแรงงาน ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวฯลฯ คาดว่าสิ้นเดือนธันวาคมขยับเพิ่มอีกกว่า 400 โรงงาน
ขณะที่ยอดขอใบอนุญาตประกอบกิจการ ร.ง.4 และการขยายกิจการในเดือน พ.ย.60 มีจำนวนโรงงานที่ขอใบอนุญาตทั้งสิ้นรวมแล้ว 390 โรงงาน แบ่งเป็น กลุ่มที่มีการขอจดประกอบกิจการใหม่ 350 โรงงาน มูลค่าการลงทุนรวม 21,158 ล้านบาท ส่วนกลุ่มขยายกิจการมีจำนวน 40 โรงงาน มูลค่าการลงทุนรวม 4,069 ล้านบาท
อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า ยอดขอใบอนุญาตประกอบกิจการ ร.ง.4 และการขยายกิจการในภาพรวม 11 เดือนแรกของปีนี้ที่มีจำนวนทั้งสิ้น 4,710 โรงงาน มีปริมาณใกล้เคียงกับเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ 4,732 โรงงาน แต่ในส่วนมูลค่าการลงทุนสูงถึง 4.74 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นขึ้น 14.01% จากปีก่อนที่ 4.16 แสนล้านบาท
โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ขอจดประกอบกิจการใหม่มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ กลุ่มผลิตภัณฑ์อโลหะ ส่วนกลุ่มที่มีการขอขยายกิจการมากที่สุด 3 อันดับแรกคือ กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ และกลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติก ทั้งนี้ คาดว่าภายในเดือนธันวาคม 2560 การขอใบอนุญาตประกอบกิจการ ร.ง.4 และการขยายกิจการน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นกว่า 400 โรงงาน
อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า ผลพวงจากนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมโครงการอีอีซีอย่างต่อเนื่องยังส่งผลให้ตัวเลขการขอใบอนุญาตประกอบกิจการและขยายโรงงานในโครงการดังกล่าวเพิ่มขึ้น โดยในช่วง 11 เดือนแรกมีจำนวนสูงถึง 529 โรงงาน มูลค่าการลงทุนรวม 1.4 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็น จังหวัดฉะเชิงเทรามีการจดประกอบและขยายกิจการจำนวน 117 โรงงาน มูลค่าการลงทุนรวม 34,800 ล้านบาท จังหวัดชลบุรี จำนวน 271 โรงงาน มูลค่าการลงทุนรวม 19,717 ล้านบาท และจังหวัดระยอง จำนวน 141 โรงงาน มูลค่าการลงทุนรวม 89,433 ล้านบาท โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการจดประกอบและขยายกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ กลุ่มผลิตยานพาหนะและอุปกรณ์ และกลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติก ส่วนโค้งสุดท้ายภายในสิ้นเดือนธันวาคมนั้นเชื่อว่าน่าจะเป็นไปตามเป้าประมาณ 400 โรง และมั่นใจว่าข้อเสนอและมาตรการจูงใจใหม่ๆ จากรัฐบาลจะเป็นส่วนที่ช่วยกระตุ้นให้เป็นไปในทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ กรมโรงงานอุตสาหกรรมยังได้เร่งเตรียมแผนมาตรการที่จะอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนและผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติเพื่อให้เกิดการเพิ่มยอดการประกอบกิจการ อาทิ มาตรการอำนวยความสะดวกในการยื่นขอจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักรที่จะช่วยลดระยะเวลาการจดทะเบียนฯจากเดิม 30 วัน เป็นไม่เกิน 15 วัน การอำนวยความสะดวกในรูปแบบ One Stop Service และการบริการผ่านระบบดิจิทัลเพื่อลดความยุ่งยากซับซ้อนในการจดทะเบียนจดประกอบและขยายกิจการ พร้อมกันนี้ยังได้จัดทำแผนเพื่อเตรียมรองรับการลงทุนในพื้นที่อีอีซีในส่วนกลไกหรือโครงสร้างพื้นฐานที่กรมโรงงานฯเกี่ยวข้อง การยกระดับมาตรการการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษและการอยู่ร่วมกันกับสิ่งแวดล้อมให้มีประสิทธิภาพ ตลอดจนขยายความร่วมมือกับหน่วยงานด้านต่างๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาและส่งเสริมผู้ประกอบการในพื้นที่ที่อยู่ในโครงการให้ได้รับสิทธิประโยชน์อย่างสูงสุด อย่างไรก็ตามคาดว่าจะมีการขอใบอนุญาตประกอบกิจการและขยายโรงงานในปริมาณที่เพิ่มขึ้นจากปัจจัยส่งเสริมทั้งจากสัญญาณตัวเลขการลงทุนที่พุ่งสูงต่อเนื่อง การขยายตัวของความต้องการแรงงานที่มีมากถึง 1.85 แสนคน รวมทั้งดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและนโยบายจูงใจของภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่กำลังคึกคัก และจะต่อเนื่องไปจนกระทั่งปี 2561