นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บอร์ดบีโอไอ ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานว่า ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อย (SME) โดยขยายเวลาขอรับส่งเสริมไปจนถึงสิ้นปี 2562 ขยายขอบข่ายให้สามารถยื่นขอรับส่งเสริมได้เกือบทุกประเภท และปรับปรุงสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ของประเภทกิจการที่กำหนด เพิ่มเพดานจากเดิมเท่าตัวเป็น 200%
โดยที่ประชุมฯ เห็นชอบการขยายขอบข่ายประเภทกิจการที่ให้ส่งเสริมตามมาตรการนี้ให้ครอบคลุมกว้างมากยิ่งขึ้น โดยเปิดให้สามารถขอรับการส่งเสริมได้ในเกือบทุกประเภทกิจการรวมจำนวนกว่า 100 ประเภท จากเดิมกำหนดไว้เพียง 40 ประเภท พร้อมทั้งให้มีการผ่อนปรนเงื่อนไขเป็นกรณีพิเศษให้แก่กิจการเอาเอ็มอีในบางประเภท
สำหรับการให้สิทธิและประโยชน์ทางภาษีแก่กิจการเอสเอ็มอีแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.สิทธิและประโยชน์พื้นฐานที่กำหนดตามประเภทกิจการให้ได้รับการเพิ่มเติมวงเงินภาษีเงินได้นิติบุคคลจากเกณฑ์ปกติ 100% เป็น 200% ในประเภทกิจการที่อยู่ในข่ายได้รับยกเว้นภาษีเงินได้
และ 2.สิทธิและประโยชน์เพิ่มเติมให้ได้รับสิทธิยกเว้นหรือลดหย่อนอากรเพิ่มเติมจากสิทธิประโยชน์พื้นฐานใน 2 กรณี คือ กรณีมีการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันเช่น การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีขั้นสูง การออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งคณะกรรมการให้ผ่อนปรนเงื่อนไขสัดส่วนเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายให้ลดลงจากเกณฑ์ปกติครึ่งหนึ่งเพื่อให้เอสเอ็มอีใช้ประโยชน์จากมาตรการนี้ได้ง่ายขึ้น หรือกรณีที่ตั้งกิจการใน 20 จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ หากเป็นประเภทกิจการในกลุ่มที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ 8 ปี จะได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เพิ่มเติมอีก 5 ปี และหากเป็นประเภทกิจการในกลุ่มอื่นจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม 3 ปีจากสิทธิและประโยชน์พื้นฐาน
นอกจากนี้กิจการเอสเอ็มอีที่ได้รับส่งเสริมสามารถนำเครื่องจักรใช้แล้วในประเทศมาใช้ในโครงการที่ขอรับการส่งเสริมได้บางส่วน ในมูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาทอีกด้วย