ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.61/63 อ่อนค่าจากช่วงเช้าหลังมีเงินไหลออกช่วงใกล้สิ้นปี-ดอลล์แนวโน้มแข็งค่า คาดกรอบพรุ่งนี้ 32.50-32.70

ข่าวเศรษฐกิจ Monday December 18, 2017 17:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 32.61/63 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากช่วง เช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 32.50 บาท/ดอลลาร์

ช่วงเย็นนี้เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลงจากช่วงเช้า เนื่องจากมีเงินไหลออก ซึ่งคาดว่าจะเป็นการทำธุรกรรมปกติในช่วง ใกล้สิ้นปี สำหรับแนวโน้มวันพรุ่งนี้มองว่าเงินบาทยังมีโอกาสอ่อนค่าได้ต่อ จากเหตุที่ว่าตลาดค่อนข้างเชื่อมั่นว่ารัฐสภาสหรัฐจะลงมติ โหวตรับมาตรการปฏิรูปภาษีใหม่ภายใต้นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะทำให้ดอลลาร์ยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ

"ช่วงนี้บาทอ่อน เพราะมี flow ออก ซึ่งก็เป็นปกติในช่วงใกล้ๆ สิ้นปี ประกอบกับแนวโน้มดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า เพราะ ตลาดเชื่อว่าสภาสหรัฐจะโหวตรับมาตรการปฏิรูปภาษี" นักบริหารเงินระบุ

นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.50 - 32.70 บาท/ดอลลาร์

  • ปัจจัยสำคัญ
  • ช่วงเย็นนี้เงินเยนอยู่ที่ระดับ 112.65 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 112.66 เยน/ดอลลาร์
  • ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1780 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1752 ดอลลาร์/ยูโร
  • ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,723.71 จุด เพิ่มขึ้น 6.02 จุด (+0.35%) มูลค่าการซื้อขาย 45,217 ล้านบาท
  • สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติซื้อสุทธิ 409.14 ลบ.(SET+MAI)
  • ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เผยทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.45-32.70
ต่อดอลลาร์ ปัจจัยชี้นำสำคัญอยู่ที่ความคืบหน้าแผนปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าสภาคองเกรสจะสามารถผ่านร่างกฎหมายภาษีภายใน
สัปดาห์นี้ รวมถึงแรงซื้อดอลลาร์ช่วงใกล้สิ้นปีอาจส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าได้บ้างในระยะสั้น

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ตลาดจะให้ความสนใจกับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 20 ธันวาคม โดยกลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์คาดว่ากนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.50% ขณะที่นักลงทุนจะจับตาความเห็น ของทางการเกี่ยวกับการแข็งค่าของเงินบาทรอบล่าสุด รวมถึงการประเมินทิศทางภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เพื่อจับสัญญาณ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะถัดไป

  • สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Invester Confidence Index) ประจำ
เดือน ธ.ค.60 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ในภาวะร้อนแรง

โดยปัจจัยหนุนหลักมาจากความเชื่อมั่นจากการที่ตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศที่มีการขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ทั้ง ในส่วนตัวเลขการส่งออกและผลผลิตมวลรวมในประเทศ (GDP) ในภาพรวม และคาดการณ์ว่าประธานนโยบายทางการเงินของสหรัฐ จะมีนโยบายปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป และมีความคืบหน้านโยบายปฏิรูปภาษีที่มีการผ่านวุฒิสภาสหรัฐ

  • กรมธนารักษ์เตรียมประกาศราคาประเมินที่ดินปี 2561 ซึ่งเป็นการประเมินราคารอบใหม่รายแปลง 32 ล้านแปลง มี
ผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.61 นี้ โดยก่อนหน้านี้ กรมธนารักษ์ได้ทยอยประเมินราคาที่ดินรายแปลงได้ 18.6 ล้านแปลง แต่ในปี 2560 ได้
ประเมินราคาส่วนที่เหลืออีก 13.4 ล้านแปลง จนครบ 32 ล้านแปลง และให้ยกเลิกการใช้ราคาประเมินเป็นแบบรายบล็อก ซึ่งการ
ประเมินแบบรายแปลง ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด ขึ้นอยู่กับการแจ้งอาจจะมีการประกาศราคาประเมินมากกว่าหรือน้อยกว่า 32 ล้าน
แปลงก็ได้
  • เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ระบุว่า ยังมั่นใจว่ายอดคำขอรับส่งเสริมการลงทุนทั้งปี 60 จะ
เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ 6 แสนล้านบาท จาก 9 เดือนแรกมียอดอยู่ที่ 376,000 ล้านบาท โดยเป็นคำขอที่ลงทุนในพื้นที่ระเบียง
เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) 104,164 ล้านบาท จำนวน 229 โครงการ
  • ที่ประชุมคณะทำงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกลางจีนได้เริ่มต้นขึ้นวันนี้ โดยคณะผู้นำของจีนเริ่มดำเนินการทบทวนผล
การดำเนินงานด้านเศรษฐกิจปี 2560 และวางแผนด้านเศรษฐกิจสำหรับปี 2561
  • คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีน (NDRC) ได้ประกาศแนวทางดำเนินการสำหรับการลงทุนของภาค
เอกชนจีนในต่างประเทศ เพื่อจัดการกับปัญหาต่างๆ ซึ่งรวมถึงการดำเนินการที่ผิดปกติที่เกิดขึ้นในยุคที่บริษัทจีนเร่งขับเคลื่อนธุรกิจของ
สู่ระดับโลก
  • เจ้าหน้าที่บริหารของสหรัฐกล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเปิดเผยยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงแห่งชาติใน
วันนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง และเป็นครั้งที่ 17 นับตั้งแต่รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน เริ่ม
ส่งรายงานต่อสภาคองเกรสเมื่อปี 2530
  • CME Group Inc บริษัทบริหารจัดการตลาดซื้อขายล่วงหน้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก เริ่มเปิดการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าบิต

คอยน์เมื่อวานนี้ ด้วยราคาเปิดตลาดที่ระดับสูงสุด ก่อนร่วงลงกว่า 6% ภายในครึ่งชั่วโมงแรก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ