นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ กล่าวปาฐกถาพิเศษ “โอกาสประเทศไทยปี 2018"ว่า ในวันนี้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ถึง 4.3 % ตัวเลขการส่งออกล่าสุดอยู่ที่ 13.3% ถ้าไตรมาสสุดท้าย หากมูลค่าส่งออกถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จะทำให้การส่งออกทั้งปีโตได้ถึง 10 % แม้ว่าการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจบางอย่างยังไม่ประสบความสำเร็จ เช่น ราคาสินค้าทางการเกษตรตกต่ำ ซึ่งเกิดจากปัญหาโครงสร้างทางการเกษตรที่สะสมมานาน ซึ่งวันนี้รัฐบาลพยายามลงไปช่วยเหลือประชาชนรากหญ้าให้สามารถอยู่ได้
สำหรับโอกาสประเทศไทยได้ห่างหายไปนานพอสมควร หากนับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 ต่อด้วยปัญหาต่างๆ ตั้งแต่ปัญหาไข้หวัดนก เกิดสึนามิ วิกฤตทางการเงินของโลก รวมถึงเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร ส่งผลต่อความเชื่อของนักลงทุน ไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาไทย ไม่มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ซึ่งตนเองเรียกว่า เป็นทศวรรษที่สูญหายไป แต่หากเทียบในปัจจุบันเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ปัญหาหลายอย่างได้รับการแก้ไข บ้านเมืองมีความสงบ
“วันนี้ ICAO ปลดธงแดง รอดพ้นแล้ว IUU ปลดธงเหลืองรอดไปแล้ว EU เป็นตัวตั้งตัวตีบอยคอตไทย วันนี้บอกว่ายินดีที่จะมาเกี่ยวโยงอีกครั้งทางการเมืองทุกระดับ และ FTA สามารถลงนามได้ทันทีเมื่อมีเลือกการตั้ง ซึ่งเราไม่ได้ร้องขอ นั่นเป็นประโยชน์ของเขา ถ้าเขาไม่มาเกี่ยวข้องกับเรา เขาคือผู้เสียประโยชน์ แต่เราต้องการมิตรสหาย เรายินดีมากที่เขาตัดสินใจ FTA ยังไม่เซ็นไม่เป็นไร ผมไม่รีบร้อนเลย แต่ศักดิ์ศรีของความเป็นประเทศมันสำคัญ ไม่ใช่เอาศักดิ์ศรีที่เขาเหยียบย่ำมาทำลายกันเอง"นายสมคิด กล่าว
นายสมคิด มองว่า ในช่วงเวลาที่เหลืออีกประมาณ 1 ปี ถือเป็นโอกาสของไทยอีกครั้ง ซึ่งในด้านภูมิศาสตร์อาเซียนถือเป็นซัพพลายเชนที่สำคัญ ที่มีความเชื่อมโยงทั้งด้านคมนาคมและการค้าการลงทุน ซึ่งไทยถือเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคที่จะสามารถเชื่อมโยงได้กับทุกประเทศ ซึ่งไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย รัสเซีย หรือแม้กระทั่งกับสหรัฐอเมริกาที่ได้มีโอกาสหารือกัน ซึ่งในปีหน้าจะมีการเดินสายไปฝั่งยุโรป ฝรั่งเศส กลุ่มประเทศอื่นๆ ทั้งในตะวันออกกลางและเอเชีย เพื่อสร้างพาร์ทเนอร์ชิพ
“ผมมั่นใจปีหน้าจะเป็นที่เราสามารถเทค-ออฟ ผมเรียนในครม.ว่า ไตรมาสที่ 1 สำคัญที่สุด เมื่อมันกำลังจะเทคออฟอย่าให้มีอะไรมาฉุด ให้ผ่านไตรมาสที่หนึ่งให้การเติบโตที่แน่นหนาขึ้น แล้วหลังจากนั้นค่อยมาเจาะนโยบายบางอย่างที่สำคัญ ผมคิดว่าปีหน้าเป็นปีทีดีทางเศรษฐกิจ จะเกี่ยวข้องตลาดทุนด้วย ตอนนี้ ทะลุ 1,700 จุด คุณคอยดูปีหน้าตลาดหุ้นจะร้อนแรง จากเศรษฐกิจโลกดีขึ้น ที่สำคัญที่สุดเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของเอกชนไทยที่จะเพิ่มทุน เพราะโอกาสมันหายไปเป็นปี ปีหน้าบริษัทไหนเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ เพิ่มทุนได้ผมว่าเฮงสุดๆ สิ่งเหล่านี้จะเริ่มหมุนและดีขึ้นเรื่อย ยกเว้นว่ามีบางสิ่งที่ไม่ปรารถนา" นายสมคิด กล่าว
นายสมคิด กล่าวอีกว่า ในปีหน้าจะเน้นการแก้ไขปัญหาให้กับคนจน ซึ่งได้มอบนโยบายให้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ชัดเจนว่า ต้องพยายามประคองราคาสินค้าเกษตรไม่ให้ราคาตกต่ำแบบผิดสังเกต ถ้าหากราคายางไม่ขึ้น รัฐจะเอาไปตรวจสต็อกของผู้ประกอบการ ดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ ถ้าหากยังพบว่าผิดปกติจะเอาไปเป็นสินค้าควบคุมเพื่อให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯสามารถเข้าไปบริหารจัดการได้ และจะต้องสามารถประคองราคาไว้แต่ต้องไม่เป็นการฝืนธรรมชาติ ทั้งนี้ได้พูดคุยกับกระทรวงการคลัง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แล้ว ไม่ได้หนุนให้โค่นยาง แต่หากโค่นยางจะให้เงินอุดหนุนและส่งเสริมให้การทำเกษตรผสมผสาน มีเลี้ยงไก่เลี้ยงปลา
ด้านการท่องเที่ยวต้องเปลี่ยนนโนบาย ส่งเสริมท่องเที่ยวเมืองรองมากขึ้น สร้างแหล่งท่องเที่ยวชุมชน กระทรวงพาณิชย์ ทำหน้าที่ทำการตลาดให้เกษตรกรมีพื้นที่ขายสินค้าได้ แนะนำให้มีการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร และต้องทำให้ร้านค้าชุมชนสามารถค้าขายผ่านออนไลน์ได้ด้วย
นายสมคิด กล่าวว่า โอกาสที่สำคัญที่สุด คือโอกาสในการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เพราะถ้าหากเศรษฐกิจจะดีแต่การเมืองไม่เข้มแข็ง ประเทศก็ไม่มีทางไปได้ดี จึงอยากเห็นพรรคการเมืองทีมีอยู่แล้วคิดนโยบายที่ดี รวบรวมคนเก่งคนดี และอยากเห็นพรรคการเมืองใหม่ๆ เพราะยิ่งมียิ่งดี พรรคเก่าจะได้พัฒนาด้วย และมองว่า พรรคการเมืองใหม่ควรจะเป็นโอกาสของคนรุ่น 30-50 ปี ไม่ใช่คนรุ่น 60-70 ปี และในระบบประชาธิปไตย พรรคการเมืองเป็นสิ่งสำคัญจึงต้องรวบรวมคนเก่งและสู้กันในระบบ
อย่างไรก็ตาม นายสมคิด กล่าวว่า ไม่ว่าใครจะเป็นผู้นำอย่าไปรังเกียจ ไม่ว่าจะเป็น ตำรวจ ทหาร ทนายความ อาจารย์ ทุกคนมีสิทธิ์ทำหน้าที่ได้ทั้งสิ้นถ้าเป็นคนดีและทำได้ดีพอ ไม่มีการผูกขาดว่านักการเมืองจะต้องเป็นใคร ซึ่งตอนนี้ตนเองมีทีมงานเศรษฐกิจที่ดีที่ตั้งใจทำงาน จึงอยากให้ช่วยกันให้กำลังใจ เพราะมีเวลาเพียง 1 ปีที่จะทำงานเต็มที่ ส่วนหลังจากนี้เป็นการตัดสินใจของแต่ละบุคคลว่าจะทำงานการเมืองต่อหรือไม่ เพราะประเทศเดินได้ไม่ใช่แค่จากคณะรัฐมนตรี 34 คน แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคน