นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรจะดำเนินการคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2560 ที่ยื่นในขอคืนปี 2561 ตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค.61 เข้าบัญชีผู้ยื่นภาษีผ่านระบบพร้อมเพย์เป็นลำดับแรก ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการได้รับคืนเงินภาษีรวดเร็วขึ้น ซึ่งทันทีที่ยื่นขอคืนภาษี ระบบจะวิเคราะห์แบบแสดงรายการภาษี หากไม่ติดเกณฑ์หรือมีความผิดปกติ ก็จะได้รับเงินภาษีคืนเข้าบัญชีพร้อมเพย์ภายในไม่กี่นาทีหรือช้าสุดไม่เกิน 1 วัน
"กรมฯ จะโอนภาษีคืนเข้าบัญชีพร้อมเพย์เป็นลำดับแรก ไม่กี่นาทีก็ได้คืน ไม่ต้องรอถึงวัน ส่วนผู้ขอคืนภาษีที่ต้องการรับเงินคืนภาษีเป็นเช็คส่งไปรษณีย์แบบเดิมก็ยื่นขอได้ตามปกติ ซึ่งขั้นตอนระเบียบราชการไม่ต่ำกว่า 30 วัน" นายประสงค์ กล่าว
พร้อมระบุว่า กรมสรรพากรขอให้ผู้ที่ผูกบัญชีพร้อมเพย์ไว้กับหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ไปเพิ่มเลขที่บัตรประชาชนเข้าบัญชีพร้อมเพย์ด้วย เนื่องจากกรมฯ จะโอนเงินคืนให้กับผู้ที่ผูกบัญชีไว้กับเลขบัตรประชาชนเป็นหลัก เพราะในอนาคตหากกรณีที่ผู้ที่ขอคืนภาษี แต่เปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ อาจจะเกิดความผิดพลาดโอนเงินผิดบัญชีหากมีผู้นำหมายเลขโทรศัพท์นั้นไปใช้ ทั้งนี้ กรมฯ ตั้งเป้าหมายคืนภาษีผ่านบัญชีพร้อมเพย์ในปีนี้เพิ่มเป็น 80%
ทั้งนี้ การคืนเงินภาษีผ่านระบบบัญชีพร้อมเพย์ เป็นการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ National e-Payment โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของระบบรับชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ และลดต้นทุนการใช้เงินสดในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งกรมสรรพากรได้เล็งเห็นถึงประโยชน์จากโครงการพร้อมเพย์ จึงได้เริ่มต้นการคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเข้าบัญชีพร้อมเพย์ในปี 2560 เป็นปีแรก
นายประสงค์ กล่าวว่า จากข้อมูลสถิติการยื่นแบบฯ และการขอคืนภาษีในปี 2560 พบว่าผู้ขอคืนภาษีส่วนใหญ่มีการผูกบัญชีพร้อมเพย์อยู่แล้วกว่า 60% โดยกรมสรรพากรไม่ได้มีมาตรการบังคับให้ผู้ขอคืนลงทะเบียนระบบพร้อมเพย์ ซึ่งหากผู้ขอคืนไม่มีการสมัครใช้บริการระบบพร้อมเพย์ ก็สามารถได้รับเงินคืนภาษีเป็นเช็คส่งไปรษณีย์แบบเดิมตามขั้นตอน หากสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ทุกพื้นที่ และศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161
อธิบดีกรมสรรพากร ยังกล่าวด้วยว่า ในเดือนม.ค.61 กรมฯ ตั้งเป้าหมายว่าจะนำระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) เข้ามาใช้กับศาสนสถานทั่วประเทศ ครอบคลุมทั้งวัด โบสถ์ มัสยิด รวมถึงวัดไทยที่อยู่ในต่างประเทศก็จะเข้ามาใช้ระบบนี้ด้วย โดยที่ผ่านมากรมฯ ได้ทดลองนำร่อง e-Donation ไปแล้วที่วัดใน จ.น่าน ซึ่งได้เสียงตอบรับดีมาก เพราะทำให้ทางวัดไม่ต้องกังวลกับการนับเงิน เก็บเงิน หรือกลัวเงินบริจาคจะสูญหาย
นอกจากนี้ กรมฯ ยังได้มีการออกใบอนุโมทนาบัตรแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสามารถส่งข้อมูลใบอนุโมทนาบัตรไปยังผู้บริจาคผ่านอีเมลล์ ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกได้ทันที