นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด คาดการณ์ว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ จะเป็นหนึ่งในตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตมากที่สุดโดยโอกาสที่จะเติบโตอยู่ในเกณฑ์ประมาณ 5-7% ในแง่ของจำนวนยูนิตและมูลค่าของโครงการ สอดคล้องกับผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่ซึ่งส่วนใหญ่ยังเห็นว่าตลาดมีโอกาสที่จะเติบโตจึงมีการวางแผนผลักดันธุรกิจจากภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยที่มีศักยภาพ
ในขณะที่ตัวสินค้าและผลิตภัณฑ์ในปีหน้าน่าจะยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก เช่น การวางผังห้องชุด ขนาดของยูนิต แต่ผู้พัฒนาโครงการจะมองหาการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ (facility) เพื่อสร้างความแตกต่างของโครงการและช่วยสนับสนุนการขาย โครงการส่วนใหญ่จะหันมาใช้ระบบที่จอดรถอัตโนมัติ (automate parking) เพื่อเพิ่มปริมาณที่จอดรถภายในโครงการ ซึ่งสามารถเพิ่มเนื้อที่ได้ประมาณ 20-30% จากระบบที่จอดรถแบบเดิม รวมถึงการใช้ระบบ home automation มากขึ้น การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในปีหน้าจะยังเน้นไปตามแนวรถไฟฟ้าโดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีส้ม สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายสายสีเขียวที่กำลังก่อสร้างอยู่ ตลาดจะขยายตัวไปยังบริเวณพื้นที่ชานเมืองช่วยให้ผู้อยู่อาศัยเดินทางเข้าเมืองสะดวกคำนวนระยะเวลาถึงจุดหมายปลายทางได้
สำหรับตลาดบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ซึ่งอยู่บริเวณชานเมืองจะมีอัตราการขยายตัวที่ต่ำ ปัญหาการจราจรยังคงเป็นปัญหาหลัก เนื่องจากโครงการพัฒนาบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ตั้งอยู่ไกลจากรถไฟฟ้า การตัดถนนใหม่เพื่อรองรับปริมาณรถและการจราจรที่เพิ่มขึ้นมีน้อยมาก ตลาดคอนโดจึงมีสถานะที่ได้เปรียบเนื่องจากอยู่ใกล้รถไฟฟ้าและยังใช้ที่ดินเพื่อก่อสร้างไม่มากอีกด้วยตลาดผู้ซื้อคอนโดเกรด B-C ยังคงเป็นคนไทยเป็นหลัก
สำหรับคอนโดในพื้นที่บริเวณสุขุมวิท รถไฟฟ้าสายสีเขียว-แบริ่ง รถไฟฟ้าใต้ดิน-บางซื่อ ลาดพร้าว จะมีชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนมากขึ้น เช่น จีน ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์และไต้หวัน ในขณะที่นักลงทุนจากประเทศแถบอื่นๆมีบ้างแต่ไม่มาก ปัจจัยที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจซื้อแตกต่างกันออกไปตามแต่ละตลาด
1. ตลาดคอนโด ผู้ซื้อจะคำนึงถึงทำเลเป็นหลัก เนื่องจากการเดินทางเข้าสู่เมืองเป็นปัจจัยสำคัญ นอกจากนี้ ตัวโครงการ ขนาดของยูนิต สิ่งอำนวยความสะดวกและราคาก็จะถูกนำมาพิจารณาเช่นกัน
2. ตลาดบ้านและทาวน์เฮาส์ ผู้ซื้อจะคำนึงถึงพื้นที่การใช้สอยเป็นหลักตามด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการและทำเลของโครงการ ในขณะที่แนวโน้มตลาดทรัพย์สินเพื่อการอุตสาหกรรมการเติบโตจะขึ้นอยู่กับการสนับสนุนนโยบายจากภาครัฐการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยเฉพาะโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งถ้าเป็นรูปเป็นร่างจะทำให้ตลาดอุตสาหกรรมเติบโตขึ้นขณะเดียวกันก็จะช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนต่างชาติได้อีกด้วย ในส่วนของตลาดโลจิสติกส์และคลังสินค้าก็จะมีการเติบโตในเชิงของปริมาณ ตลาดสำนักงานมีทิศทางที่เป็นบวกเนื่องจากปริมาณอุปทาน (Supply) ที่เข้าตลาดยังมีอยู่น้อย