นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีลงนามในสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน 5 เส้นทาง กับบริษัทผู้รับจ้างที่ผ่านการคัดเลือกด้านราคาทั้ง 9 สัญญาว่า โครงการนี้จะเป็นจุดพลิกผันที่สำคัญ ที่กำลังจะเปลี่ยนโหมดของคมนาคมครั้งใหญ่ ครั้งนี้จะเป็นการต่อยอดครั้งใหญ่ที่จะทำให้การคมนาคมของประเทศเปลี่ยนไป โดยที่ผ่านมาไทยเน้นการใช้รถยนต์ทางถนน เน้นเรื่องการบิน แล้วไม่ใช้ระบบราง อาจจะเป็นเพราะว่าในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา รฟท. ทำหน้าที่ค่อนข้างอ่อนแอ และไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
แต่รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญาความยากจน การลดความเหลื่อมล้ำประเทศ นอกจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำแล้ว ยังมีความยากลำบากในการเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคอื่น เส้นทางคมนาคมเข้าไม่ถึง มีแต่รถยนต์ที่เข้าถึง ดังนั้นที่ประชุมครม. จึงเห็นว่าจากนี้ไทย จะเปลี่ยนโหมดยกให้รถไฟเป็นเรื่องใหญ่ จะพยายามเน้นเส้นทางหลักให้ครบ และจะมีการเชื่อมต่อทางรถไฟระหว่างเมืองใหญ่ไปเมืองรอง, เมืองรองไปเมืองรอง ดังเช่นในประเทศญี่ปุ่น มีการเดินรถเข้าถึงหมู่บ้าน ตำบล จะเป็นเส้นทางที่ส่งเสริมการขนส่งสินค้า ขนผู้โดยสาร ส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะเรื่องท่องเที่ยว ในที่ประชุมครม.ต้องการยกระดับ โดยให้มีการเชื่อมโยงทางรถไฟและการบิน เรือ เข้าโครงข่ายการท่องเที่ยวของจังหวัด และจะทำให้รฟท.มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในอนาคตข้างหน้า
นายสมคิด กล่าวว่า ในปี 61 ได้มอบหมายให้กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท รฟท. ท่าเรือ การบิน มาพิจารณาทบทวนโครงการว่าเพื่อลำดับความสำคัญโครงการว่าโครงการใดจะดำเนินการก่อน เพราะหากรอให้ครบหมดทุกโครงการใช้เวลานานมาก โดยเห็นว่าโครงการที่เอกชนทำได้ให้เอกชนเข้ามาทำที่มีกำไร ขณะที่โครงการไหนที่ทำกำไรน้อยรัฐจะเข้าไปดำเนินการ
"ครั้งนี้จะเป็นการเปลี่ยนโฉมของคมนาคม แล้วบทบาทของการรถไฟฯ จากที่คนมองว่าไม่มีอะไร สำหรับเรา การถไฟฯ มีทรัพย์สินที่มีมูลค่ามหาศาล ถ้าเราจัดการบริหารให้ดี เราก็จะสามารถสร้างรายได้และองค์กรที่เข้มแข็ง เพื่อรองรับการทำงานที่รัฐบาลต้องการ อย่างรถไฟจีน เขาเอาจริงกับการเปลี่ยนแปลง การรถไฟฯวางแผนปฏิรูปองค์กร วิธีการนี้ใน 4-5 ปีจะเห็นอะไรใหม่ๆ"รองนายกรัฐมนตรี กล่าว