นายแฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านโครงการที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปี 60 เป็นปีที่โดดเด่นสำหรับนักลงทุนต่างชาติในการเข้ามาลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในไทย เนื่องจากมีอุปทานใหม่ที่มีการออกแบบของนวัตกรรมและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย และยังมีการเติบโตทางการลงทุน ด้วยโอกาสทางการลงทุนที่น่าสนใจในประเทศไทยที่ยังเปิดโอกาส โดยไม่ได้รับผลกระทบจากค่าภาษีและอากรแสตมป์ที่มีราคาแพง
ในปี 60 ผู้ประกอบการหลายแห่งที่ได้ประโยชน์จากส่วนแบ่งทางการตลาด จากกลุ่มผู้ซื้อชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยไทยได้รับกระแสการลงทุนเพิ่มมากขึ้นจากนักลงทุนชาวจีน แม้จะมีข้อจำกัดการลงทุนในต่างประเทศที่เข้มงวดมากขึ้นก็ตาม ขณะที่กรุงเทพฯจัดเป็นหนึ่งในพื้นที่เป้าหมายการลงทุนหลัก โดยคอนโดมิเนียมราคาระดับกลางหลายแห่งในเมืองได้รับความสนใจจากชาวจีนมากถึง 40% แต่ช่วงครึ่งหลังของปี 60 ยังค่อนข้างนิ่ง เนื่องจากมีกฏบังคับควบคุมการโอนเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของธนาคารแห่งประเทศจีน
การนำเสนอข้อมูลโครงการ (Road Show) ที่อยู่อาศัยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงประเทศจีนถือเป็นกิจกรรมทางการตลาดที่สำคัญและมีแนวโน้มที่จะขยายใหญ่มากขึ้นในปี 61 และคาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมากขึ้นอีก ซึ่งผู้ประกอบการควรตระหนักว่ากลุ่มนักลงทุนจะคำนึงถึงเกณฑ์พื้นฐานหลักก่อนการตัดสินใจซื้อ ได้แก่ ทำเลที่ตั้ง เป็นปัจจัยหลักสำหรับผู้ซื้อต่างชาติ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ที่มีสถานที่สำคัญหรือการเข้าถึงจุดบริการขนส่งมวลชน ,ราคา ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับทำเลที่ตั้ง และสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งรวมถึงการตกแต่งโดยรวมว่ามีความเหมาะสมกับโครงการหรือไม่
ด้านนายมาร์ซีอาโน เบิร์จโมฮัน ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการตลาดและการขายต่างประเทศ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทยมีการขยายเพิ่มขึ้นมาก แต่รถไฟฟ้าบีทีเอสยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักในการพัฒนาเมือง และเป็นขนส่งมวลชนที่สำคัญที่สุดต่อโครงสร้างพื้นฐานของชุมชนในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานี interchange อย่างสถานีกลางบางซื่อที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในขณะนี้ ได้กลายเป็นจุดสนใจหลักของนักลงทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติจำนวนมากยังให้ความสนใจไปที่พื้นที่รอบนอกเขตกรุงเทพฯที่มีระดับการลงทุนต่ำ แต่ได้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อระหว่างย่านธุรกิจและพื้นที่ท่องเที่ยวโดยตรง นอกจากนี้สถานีเชื่อมต่อเตาปูนที่แล้วเสร็จและสถานีเชื่อมต่อสำโรงที่เกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว พื้นที่ทั้งสองนี้จะกลายเป็นพื้นที่ที่สำคัญในอนาคต หากสังเกตจากการจราจรในบริเวณที่มีสถานี interchange อย่างสถานีอโศกและสถานีสยาม ทำให้มั่นใจว่าสถานีเตาปูนและสถานีสำโรงจะกลายเป็นสถานีขนส่งหลักภายในปี 63
นอกจากนี้ คุณภาพของระบบโครงสร้างพื้นฐานในกรุงเทพฯ อย่างระบบขนส่งมวลชนและระบบโทรคมนาคมถือเป็นปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทางการลงทุนอสังหาริมทรัพย์และโครงการพัฒนา ซึ่งคล้ายคลึงกับเมืองใหญ่หลาย ๆ แห่งในโลก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจะส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าทรัพย์สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดวางตำแหน่งโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนจะมีผลต่อผู้คน ชุมชน และมูลค่าทรัพย์สินเป็นอย่างมาก ซึ่งสังเกตเห็นได้ชัดเจนจากแนวรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทและสายสีลม
ทั้งนี้ อสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยที่ตั้งอยู่ใกล้กับระบบขนส่งมักถือเป็นพื้นที่"พรีเมียม"และเป็นเรื่องปกติที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณนั้น จะปรับขึ้นตามการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้วย