นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า อีไอซีมองเศรษฐกิจไทยปี 61 โต 4% เท่ากับปี 60 โดยมีแรงหนุนเสริมด้วยการลงทุนภาคเอกชนที่กำลังจะกลับมา อานิสงส์จากเศรษฐกิจโลกที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้การส่งออกและการท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การลงทุนภาคเอกชนของไทยมีโอกาสกลับมาขยายตัวตามการผลิตเพื่อการส่งออกที่มีการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นติดต่อกันมาหลายเดือน โดยคาดว่าภาคส่งออกของไทยในปี 60 จะเติบโต 10% และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโต 5%
นอกจากนี้ การลงทุนภาคเอกชนยังมีสัญญาณสนับสนุนอื่นๆ อีก ได้แก่ การขยายสาขาของกลุ่มค้าปลีกขนาดใหญ่ การเริ่มกลับมาเปิดโครงการของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่มีแนวโน้มขยายตัวอีกเท่าตัว และการลงทุนในเทคโนโลยีของบริษัทใหญ่เพื่อปรับธุรกิจเข้าสู่ยุคดิจิทัล อีกทั้งธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มีความคึกคักอย่างชัดเจนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาก็มีแนวโน้มนำไปสู่การลงทุนในหลายด้าน ทั้งในด้านการขนส่ง โกดังสินค้า และการรองรับเทคโนโลยีการชำระเงินออนไลน์
นายพชรพจน์ กล่าวว่า ตัวแปรสำคัญที่อาจทำให้เศรษฐกิจไทยปี 61 เติบโตได้สูงกว่าคาด คือ การลงทุนของบริษัทต่างชาติในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ในขณะที่ตลาดผู้บริโภคมีแนวโน้มดีขึ้นเพียงบางกลุ่ม การบริโภคภาคเอกชนในภาพรวมมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน แต่เป็นการพึ่งพากำลังซื้อของคนบางกลุ่มที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ได้แก่ กลุ่มผู้มีรายได้สูงและกลุ่มผู้ซื้อรถคันแรกที่ทยอยหมดภาระการผ่อน ซึ่งจะช่วยให้สินค้าและบริการที่เจาะกลุ่มชนชั้นกลางยังคงขยายตัวได้
นอกจากนี้ การผ่านพ้นช่วงไว้อาลัยก็จะทำให้กิจกรรมต่างๆ กลับมาดำเนินการตามปกติ เช่น การจัดงานรื่นเริง กิจกรรมและสื่อด้านความบันเทิง รวมไปถึงการท่องเที่ยวทั้งของคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่างไรก็ตาม กำลังซื้อของคนส่วนใหญ่ยังคงได้รับผลกระทบจากทั้งการจ้างงานและค่าจ้างที่ลดลงในปีที่ผ่านมา รวมถึงภาระหนี้ต่อรายได้ที่ยังสูงและเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อการบริโภค
ทั้งนี้ ปัจจัยที่สำคัญในการชี้วัดความสามารถการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่อีไอซีไห้ความสำคัญในปีนี้ คือ การลงทุนภาคเอกชน ซึ่งคาดว่าในปี 61 จะเริ่มเห็นภาคเอกชนกลับมาลงทุนมากขึ้น จากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลต่อความต้องการใช้สินค้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีการใช้กำลังการผลิตเพิ่มสูงขึ้นตาม และทำให้ภาคเอกชนจะต้องมีการลงทุนขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความต้องการซื้อที่มีแนวโน้มที่ดี ขณะเดียวกันยังมีการเร่งลงทุนด้านเทคโนโลยีของภาคธุรกิจ เพื่อให้สอดรับกับการเป็น Digital Economy ของประเทศไทย อีกทั้งการลงทุนในโครงการ EEC ที่จะมีความชัดเจนมากขึ้นในปีนี้ ทำให้จะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญที่ช่วยเร่งการลงทุนภาคเอกชนให้เติบโตขึ้น
ขณะที่การลงทุนภาครัฐในปีนี้คาดว่าจะใช้เม็ดเงินลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าอยู่ที่ 1.6 แสนล้านบาท จากปีก่อนที่ใช้ไป 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งการใช้เม็ดเงินลงทุนของภาครัฐจะเป็นอีกปัจจัยชี้วัดที่สำคัญในการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชน และมีผลบวกต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ซึ่งหากภาครัฐใช้เม็ดเงินลงทุนตามที่อีไอซีประเมินไว้จะมีผลต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยเติบโต 0.4% ซึ่งรวมอยู่ในประมาณการอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปีนี้โต 4%
อย่างไรก็ตาม อีไอซีประเมินว่ามี 4 ความเสี่ยงหลักในปี 61 โดยความเสี่ยงแรก คือ ราคาสินค้าเกษตรที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ จากผลผลิตที่ออกมามากจะกระทบกับรายได้ของครัวเรือนส่วนใหญ่ เป็นการส่งผลซ้ำเติมต่อกำลังซื้อที่ยังไม่ได้ฟื้นตัว ความเสี่ยงที่สอง คือ การแข็งค่าของเงินบาทที่จะกระทบกับรายได้ในรูปเงินบาท และความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออก ความเสี่ยงที่สาม คือ การขาดแคลนแรงงาน ทั้งแรงงานต่างด้าวและแรงงานทักษะขั้นสูง ซึ่งความเสี่ยงนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้แนวโน้มการฟื้นตัวของการลงทุนสะดุดลงได้ และความเสี่ยงสุดท้าย คือ ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่มีโอกาสส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ อาทิ ความไม่สงบในคาบสมุทรเกาหลี ความไม่แน่นอนทางการเมืองของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองของหลายประเทศในสหภาพยุโรป
"ความเสี่ยงหลักในปี 61 มองว่าเป็นเรื่องราคาสินค้าเกษตรที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ จากผลผลิตที่ออกมามากจะกระทบกับรายได้ของครัวเรือนส่วนใหญ่ เป็นการส่งผลซ้ำเติมต่อกำลังซื้อที่ยังไม่ได้ฟื้นตัว การขาดแคลนแรงงานทั้งแรงงานต่างด้าวและแรงงานทักษะขั้นสูง ซึ่งความเสี่ยงนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้แนวโน้มการฟื้นตัวของการลงทุนสะดุดลงได้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่มีโอกาสส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ และสภาพคล่องในตลาดการเงินโลกจะเริ่มลดน้อยลง หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศ เริ่มลดการอัดฉีดเม็ดเงินและปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะกระทบต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่ดัชนีอาจจะปรับตัวลงได้"
ด้านสภาวะทางการเงินของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้นโยบายการเงินโลกจะตึงตัวมากขึ้น ในระยะข้างหน้าสภาพคล่องในตลาดการเงินโลกจะเริ่มลดน้อยลงจากการดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งอาจเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดความสั่นคลอนในประเทศที่มีหนี้ต่างประเทศสูง และยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการปรับฐานของสินทรัพย์ทางการเงินต่างๆ รวมทั้งดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยที่ได้ปรับตัวขึ้นมาสูงในปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจของไทยในภาพรวมยังถือว่ามีความเสี่ยงไม่มาก ด้วยทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีมาก และสถานะการเงินของบริษัทใหญ่ที่ยังคงแข็งแกร่ง ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีความเป็นไปได้ที่จะยังอยู่ในระดับเดิมที่ 1.50% เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวได้ไม่ทั่วถึงและแรงกดดันจากเงินเฟ้อก็ยังมีไม่มากนัก ในด้านค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ คาดว่าจะอยู่ในช่วง 32.00-33.00 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงปลายปี 61
นายพชรพจน์ เชื่อว่าสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่านั้นภาคเอกชนมีการปรับตัวมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะเห็นแนวโน้มเงินบาทแข็งค่ามาต่อเนื่อง แต่สิ่งที่กังวลจะเป็นผลกระทบต่อการกำหนดราคาส่งออกสินค้าเกษตร เช่น ยางพารา และข้าว เนื่องจากหากเทียบเงินบาทกับเงินดองของเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศคู่แข่งที่มีการส่งออกสินค้าคล้ายคลึงกับประเทศไทย จะเห็นว่าเงินบาทแข็งค่าถึง 10% และหากเทียบกับเงินหยวนของจีน เงินบาทแข็งค่า 5% ทำให้ความสามารถในการกำหนดราคาสินค้าเกษตรของผู้ส่งออกไทยลดลง แต่มองว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะไม่กระทบต่อตัวเลขการส่งออกปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกขยายตัวดี และมีความต้องการสินค้าจากต่างประเทศในระดับสูง
"แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยคาดว่าจะทรงตัวที่ 1.5% เพื่อประคองเศรษฐกิจไทยที่ยังเติบโตไม่ทั่วถึง ประกอบกับเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ตามราคาน้ำมันและราคาสินค้า โดยคาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับ 1.1% อีกทั้งมองว่าธนาคารกลางทั่วโลกจะยังไม่รีบเร่งการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด รวมถึงการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้มองว่าธปท. จะยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับเดิมต่อไปในปีนี้"นายพชรพจน์ กล่าว