กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (BAY) เผยทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.00-32.30 ต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับปิดแข็งค่าที่ 32.23 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2557 โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยมูลค่า 400 ล้านบาท แต่ซื้อพันธบัตรมากถึง 3.7 หมื่นล้านบาทในช่วงสามวันทำการ ขณะที่ดอลลาร์แข็งค่าเทียบกับเงินยูโรและเงินเยน โดยได้แรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยังคงปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปีนี้
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ฯ กล่าวว่า ข้อมูลตำแหน่งการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนธันวาคม โดยการเติบโตของค่าจ้างปรับขึ้นเล็กน้อยและอัตราว่างงานทรงตัวที่ระดับต่ำสุดในรอบ 17ปี ที่ 4.1% ข้อมูลดังกล่าวสนับสนุนแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและช่วยให้มีแรงซื้อเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ แต่ตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับขึ้นอย่างร้อนแรงกดดันค่าเงินดอลลาร์ให้อ่อนลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ และหนุนสกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ดอลลาร์ออสเตรเลียและดอลลาร์แคนาดา ทั้งนี้ นักลงทุนจะให้ความสนใจตัวเลขเงินเฟ้อและยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ รวมถึงข้อมูลการค้าระหว่างประเทศของจีนที่จะประกาศช่วงท้ายสัปดาห์นี้
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ เงินบาทเปิดตลาดแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 40 เดือน โดยเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้าตลาดพันธบัตรส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วและอาจส่งผลให้ผู้ส่งออกเร่งเทขายเงินดอลลาร์ออกมา ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวเตือนก่อนหน้านี้ว่า พร้อมเข้าดูแลตลาดหากค่าเงินเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเกินไปจนอาจกระทบต่อการปรับตัวของภาคเอกชน อย่างไรก็ดี ทางการเห็นว่า แม้เงินบาทแข็งค่าค่อนข้างเร็ว แต่ยังเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับสกุลเงินภูมิภาค นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจให้ความเห็นว่า เงินบาทที่แข็งค่าสะท้อนเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้น กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี ประเมินว่า ในระยะสั้น เงินบาทจะปรับตัวผันผวนตามการเคลื่อนย้ายของกระแสเงินลงทุน ขณะที่แรงขายดอลลาร์อาจลดลงโดยตลาดมีท่าทีระมัดระวังมากขึ้น หลังธนาคารกลางหลายแห่งในภูมิภาคส่งสัญญาณว่าอาจเข้าดูแลตลาดอัตราแลกเปลี่ยน แต่ดอลลาร์ยังมีแนวโน้มอ่อนค่า หากสภาวะแวดล้อมทางการเงินของโลกยังเอื้อต่อการโยกเงินลงทุนเข้าสู่สินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่