พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำว่า ขณะนี้คณะกรรมการไตรภาคีอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งตนคงไม่สามารถไปสั่งการใดๆ ได้ แต่การปรับขึ้นค่าแรงจำเป็นต้องคำนึงผลกระทบกับภาคธุรกิจ ทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ด้วย โดยจะต้องดำเนินการให้เกิดความเป็นธรรม และคาดว่าน่าจะมีข้อสรุปเร็วๆ นี้
"ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังไปพิจารณามาตรการเพิ่มเติมรองรับผลจากการปรับขึ้นค่าแรง ก่อนที่จะนำเสนอให้ที่ประชุม ครม.พิจารณาต่อไป" นายกรัฐมนตรีกล่าว
พร้อมระบุว่า ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการภาคเอกชนให้ปฏิบัติตามมติคณะกรรมการไตรภาคีที่จะออกมา แต่หากเอกชนได้รับความเดือดร้อนทางรัฐบาลเองก็จะหาแนวทางแก้ปัญหาให้ตามแนวทางและกฏหมาย เพราะรัฐบาลเข้าใจว่าภาคธุรกิจจำเป็นต้องคำนึงถึงต้นทุนและกำไร แต่ก็ขอให้ทุกคนคำนึงถึงภาพรวมของประเทศด้วย
ด้าน พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเห็นว่าเรื่องนี้ยังต้องหารือในรายละเอียด จึงให้กระทรวงแรงงานกับผู้เกี่ยวข้องไปหารือรายละเอียดเพิ่มเติม หลักการคือทั้งนายจ้างและลูกจ้างต้องได้รับความพอใจทั้งสองฝ่าย
"อาจจะต้องมีข้อกำหนดว่าจะต้องดูสถานประกอบการว่ามีจำนวนคนเท่าไร เพราะถ้าเหมาขึ้นทั้งหมด จะส่งผลกระทบต่อเอสเอ็มอี ร้านค้า ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งไม่อยากให้เกิดปัญหาแบบนั้น" โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว
ส่วนข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) นั้น นายกรัฐมนตรีได้ขอให้กระทรวงแรงงานไปพิจารณาในรายละเอียดที่เสนอมา รวมทั้งคณะกรรมการค่าจ้างของทั้ง 3 ฝ่าย แต่ยังไม่ได้กำหนดว่าให้กลับมารายงานเมื่อไร
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่รับผิดชอบไปดูแลเรื่องราคาสินค้า ถ้าราคาสินค้าจะขยับขึ้นต้องสมเหตุสมผล น้ำมัน ก๊าซหุงต้มหากจะขึ้นราคาก็ต้องมีอัตราส่วนในการปรับขึ้น ไม่ใช่แค่มีข่าวว่าค่าแรงจะปรับขึ้นราคาสินค้าก็ขยับแล้ว ต้องดูต้นทุนในการประกอบการแต่ละชนิดถึงผลที่เกี่ยวพันกัน
"ระหว่างนี้ ผู้ที่ต้องดูแลสินค้าอุปโภคบริโภค ต้องไม่ปล่อยให้มีการขึ้นราคา และส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยเด็ดขาด" พล.ท.สรรเสริญ กล่าว