นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บมจ.ปตท. (PTT) คาดว่า ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปีนี้ จะอยู่ที่ 54-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น สาเหตุมาจากคาดการณ์ว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ต่ออายุข้อตกลงลดการผลิตน้ำมันออกไป ขณะที่ยังต้องจับตาปริมาณการส่งออกของอิหร่าน นอกจากนี้สภาพอากาศหนาว ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันสูงขึ้น
อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบที่ขยับขึ้นนั้น ก็จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนวัตถุดิบการผลิตปิโตรเคมีด้วย ซึ่งกลุ่มปตท. ก็ได้ปรับตัวโดยทำต้นทุนให้ต่ำสุดเพื่อแข่งขันในตลาดโลก
สำหรับกรณีคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน จัดทำแผนพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีระยะที่ 4 ให้กับประเทศ เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของอุตสาหกรรมของไทย เป็นแผนระยะยาว ซึ่งในส่วนของปตท.ก็อาจต้องนำมาศึกษาควบคู่กันกับแผนการลงทุนของปตท.ด้วย
น.ส.จิราพร ขาวสวัสดิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน PTT กล่าวว่า การที่ปตท.ร่วมกันทางกระทรวงพลังงาน กับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) นำร่องใช้น้ำมันไบโอดีเซล B10 ในรถไฟสายวงเวียนใหญ่-มหาชัย ปัจจุบันยังเป็นโครงการนำร่องเพื่อทดลองใช้ในรถไฟสายดังกล่าวก่อน ซึ่งทางกรมธุรกิจพลังงานจะเป็นผู้อนุมัติสูตรดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม หากภาครัฐประกาศใช้ B10 ทั้งปีนี้ ก็มองว่าไม่น่าจะมีปัญหา ปัจจุบัน ปตท.มีสำรอง B100 ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2560 อยู่ที่ 23,000 ตัน และเตรียมสต็อก B100 เพื่อดูดซับน้ำมันปาล์มดิบ (ซีพีโอ) ในตลาดเพิ่มอีก 30,000 ตัน ที่จะทยอยเข้ามาเพิ่ม โดยในส่วนเพิ่มนี้ ปตท.เช่าคลังไว้ที่ภาคใต้ หากมีความต้องการใช้จะใช้รถขนส่งขึ้นมาภาคกลางต่อไป
ปัจจุบัน ปตท.มีสัดส่วนการใช้ B100 อยู่ที่ 1.1 ล้านลิตรต่อวัน เทียบยอดขายดีเซลอยู่ที่ 16 ล้านลิตรต่อวัน นอกจากนี้ ปตท.อยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรเพื่อหาแนวทางช่วยดูดซับซีพีโอในตลาดเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้