นายสันติ กีระนันทน์ ผู้แทนสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 153.94 อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง" (Bullish) (ช่วงค่าดัชนีระหว่าง 120 - 160) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.08% จากเดือนที่ผ่านมาที่ 150.81
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มบัญชีนักลงทุนต่างประเทศยังคงอยู่ที่ระดับร้อนแรงอย่างมาก ขณะที่กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับร้อนแรงอย่างมาก โดยกลุ่มสถาบันภายในประเทศและกลุ่มนักลงทุนรายบุคคลปรับตัวลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ระดับร้อนแรงเช่นเดียวกับเดือนก่อนหน้า
โดยหมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดธนาคาร (BANK) ส่วนหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ (MEDIA) เป็นหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด
สำหรับปัจจัยหนุนหลักมายังคงจากความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในประเทศที่มีการเติบโตต่อเนื่อง และความคืบหน้านโยบายปฏิรูปภาษีที่ของสหรัฐที่จะมีผลบังคับใช้ปี 2018 ที่มีส่วนกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐ
ส่วนปัจจัยความเสี่ยงความขัดแย้งระหว่างประเทศในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและคาบสมุทรเกาหลี แม้ว่ามีความเสี่ยงที่ไม่มากนักแต่มีผลกระทบมากยังเป็นปัจจัยกดดันความเชื่อมั่น สำหรับตลาดหุ้นไทยเดือนธันวาคม ดัชนีฯยังมีการปรับตัวในทิศทางที่เพิ่มขึ้นโดยดัชนีฯปิดทำการของวันสิ้นปีใกล้เคียงกับดัชนีปิดทำการสูงสุดในประวัติศาสตร์
“ภาวะการลงทุนในเดือนธันวาคม ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นจากใกล้เคียง 1700 จุด มาปิดทำการที่ 1753.71 จุด ใกล้เคียงกับดัชนีปิดทำการสูงสุดในประวัติศาสตร์ จากปัจจัยหนุนหลักจากความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 3.9% ในปี 2017 และคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 3.9-4.1% ในปี 2018 จากการที่มีการฟื้นตัวทั้งจากภาคการลงทุนเอกชน การลงทุนระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐที่จะอนุมัติโครงการและเริ่มสู่ช่วงการก่อสร้างและเบิกจ่ายงบประมาณจำนวนมาก รวมถึงการบริโภคภาคเอกชนที่เริ่มมีฟื้นตัวขึ้น ตัวเลขการท่องเที่ยวที่มีการเติบโตชัดเจน รวมถึงตัวเลขเงินทุนไหลเข้าที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในระดับร้อนแรง สำหรับปัจจัยต่างประเทศมีปัจจัยหนุนจากภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคที่มีการเติบโต รวมถึงตลาดหุ้นของสหรัฐที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากแผนปฏิรูปภาษีและการคาดการณ์ Normalization ที่จะยังคงเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ต้องจับตามองจากความขัดแย้งในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง และคาบสมุทรเกาหลียังเป็นปัจจัยกดดันการลงทุน"