ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทุกจังหวัดในปี 61 ตั้งแต่วันละ 5-22 บาท หรือเฉลี่ย 2.6% จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในวงจำกัด โดยจะส่งผลกระทบทางตรงต่อต้นทุนของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น (Labor-intensive) ให้เพิ่มขึ้นราว 0.5% ของต้นทุนทั้งหมด ซึ่งอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นส่วนใหญ่เป็นธุรกิจในภาคบริการที่มักพึ่งพิงแรงงานไร้ฝีมือ (Unskilled labor) และจ่ายค่าจ้างโดยอ้างอิงกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นหลัก ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจร้านอาหารและที่พักแรม รวมถึงธุรกิจผลิตสิ่งทอเครื่องนุ่งห่มและเฟอร์นิเจอร์ ตลอดจนภาคเกษตรกรรม
ขณะเดียวกัน ธุรกิจอื่นๆ ที่แต่เดิมจ่ายค่าจ้างในอัตราที่สูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำไม่มากหรือพึ่งพิงแรงงานกึ่งมีฝีมือ (Semi-skilled labors) เป็นหลัก ก็อาจจะได้รับผลกระทบทางอ้อมเนื่องจากจำต้องปรับเพิ่มค่าจ้างของแรงงานกึ่งมีฝีมือเพื่อรักษาระดับความต่างของค่าจ้างระหว่างแรงงานกึ่งมีฝีมือและแรงงานไร้ฝีมือไว้ท่ามกลางสภาวะตลาดแรงงานที่ตึงตัวขึ้นด้วย ซึ่งจะทำให้ต้นทุนของธุรกิจและอุตสาหกรรมในภาพรวมเพิ่มขึ้นราว 0.4% ของต้นทุนทั้งหมด นอกจากนี้ ธุรกิจที่มีทางเลือกค่อนข้างจำกัดในการนำเทคโนโลยีและเครื่องจักรมาใช้แทนแรงงาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจ SMEs จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มธุรกิจอื่นๆ โดยเปรียบเทียบ ทั้งนี้ หากภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถนำค่าจ้างแรงงานไปลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นเป็น 1.5 เท่า ก็น่าจะช่วยบรรเทาภาระต้นทุนบางส่วนของผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำได้
สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาคนั้น รายได้ของแรงงานไม่มีฝีมือและแรงงานกึ่งมีฝีมือที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพบางส่วนของแรงงาน รวมถึงช่วยหนุนการใช้จ่ายของครัวเรือนให้เพิ่มขึ้นตามกำลังซื้อที่สูงขึ้น ส่งผลบวกต่อมูลค่าจีดีพีในประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการในส่วนแรงงานของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อประกอบกับต้นทุนการผลิตอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้น ก็อาจทำให้ผู้ประกอบการบางส่วนตัดสินใจถ่ายโอนภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นผ่านทางด้านราคาสินค้าและบริการ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า จะทำให้ระดับราคาสินค้าและบริการของผู้บริโภคในปี 2561 เพิ่มขึ้นราว 0.06% เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ผลของการปรับค่าจ้างขั้นต่ำส่วนหนึ่งได้ถูกรวมเข้ามาในการประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2561 แล้ว) โดยต้นทุนการผลิต รวมถึงระดับราคาสินค้าและบริการของผู้บริโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นจะเป็นแรงกดดันต่อมูลค่าจีดีพี
อย่างไรก็ตาม รายได้ของแรงงานที่เพิ่มขึ้นก็จะช่วยหนุนมูลค่าจีดีพีได้บางส่วน ประกอบกับภาครัฐมีมาตรการควบคุมราคาสินค้าภายในประเทศ อาทิ กระดาษชำระ ผงซักฟอก สบู่ แชมพู ไข่ไก่ ผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่ม ฯลฯ ซึ่งจะส่งผลให้การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำกระทบภาพรวมเศรษฐกิจไทยอย่างจำกัด ทั้งนี้ จากการประเมินผลกระทบต่อมูลค่าจีดีพีของไทยในปี 2561 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะส่งผลต่อมูลค่าจีดีพีอย่างไม่มีนัยสำคัญ กล่าวคือ ผลสุทธิของมูลค่าจีดีพีจะลดลงเล็กน้อยราว 0.02% เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2561 ไว้ที่ 4.0% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยในปี 2561 ที่ 1.1% ดังเดิม