นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม รองอธิบดี รักษาราชการอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ตามที่ความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) อาเซียน-จีน มีผลบังคับใช้เมื่อเดือนกรกฎาคม 2548 ซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียนรวมทั้งไทยและจีน ต่างได้ทยอยลดและยกเลิกภาษีระหว่างกันมาเป็นลำดับ และล่าสุดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นการลดภาษีศุลกากรของสินค้าล็อตสุดท้าย ทั้ง 2 ประเทศจะต้องลดภาษีศุลกากรลงเหลือ 0-5%
ดังนั้น เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้ใช้โอกาสที่จีนลดภาษีภายใต้ FTA ให้ไทย กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้เชิญภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้าร่วมประชุมแจ้งข้อมูล และขอความร่วมมือประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลให้ภาคเอกชนและผู้ส่งออกของไทย ได้ใช้ประโยชน์จากโอกาสดังกล่าว
นางอรมน กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้วิเคราะห์ข้อมูลการลดภาษีภายใต้ FTA อาเซียน-จีน พบว่ารายการสินค้าล็อตสุดท้ายที่จีนจะต้องลดภาษีให้ไทยเหลือ 5% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 มีประมาณ 286 รายการ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่มีภาษีเดิมอยู่ที่ 15-20% ได้แก่ กาแฟ พริกไทย ข้าวหัก แป้งข้าวเจ้า ลำไยและสับปะรดกระป๋อง น้ำสับปะรด น้ำมะพร้าว ยาสูบ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และรถบรรทุกดีเซล ซึ่งมีหลายรายการเป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพส่งออก เช่น ลำไยกระป๋อง ไทยครองส่วนแบ่งตลาดในจีนเกือบ 100% โดยจีนนำเข้าจากไทยเฉลี่ย 3 ปีที่ผ่านมา (2557-2559) มูลค่า 50,000 เหรียญสหรัฐ โดยสินค้าสับปะรดกระป๋อง/แปรรูป/น้ำสับปะรด จีนนำเข้าจากไทยเฉลี่ย 3 ปีที่ผ่านมา (2557-2559) มูลค่า 7 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 38% ของมูลค่าการค้าที่จีนนำเข้าจากโลก ขณะที่น้ำมะพร้าว จีนนำเข้าจากไทยเฉลี่ย 3 ปีที่ผ่านมา (2557-2559) มูลค่า 2.80 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 15.67% ของมูลค่าการค้าที่จีนนำเข้าจากโลก และแป้งข้าวเจ้าไทย มีส่วนแบ่งตลาดในจีนถึง 99% โดยจีนนำเข้าจากไทยเฉลี่ย 3 ปี (2557-2559) มูลค่า 23.54 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นต้น ดังนั้น ไทยน่าจะใช้โอกาสขยายการส่งออกสินค้าเหล่านี้ไปจีนได้
นอกจากนี้ ในส่วนสินค้าที่ไทยและจีนเก็บภาษีเป็น 0% แล้วตั้งแต่ปี 2553 มีบางรายการที่ไทยและจีนยังมีการค้าระหว่างกันน้อย ทั้งที่เป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออก อาทิ ปลาและกุ้งแช่แข็ง ไทยครองส่วนแบ่งการตลาดการนำเข้าของจีนเพียง 12% หรือเฉลี่ย 3 ปี (2557-2559) มูลค่า 38 ล้านเหรียญสหรัฐ ขนมหวานที่ทำจากน้ำตาล เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ครองส่วนแบ่งการนำเข้าของจีน 10% หรือมูลค่าเฉลี่ย 3 ปี (2557-2559) 10.19 ล้านเหรียญสหรัฐ ผัก/ผลไม้แปรรูป ไทยครองส่วนแบ่งตลาดนำเข้าของจีน 30% หรือมูลค่าเฉลี่ย 3 ปี (2557-2559) 36 ล้านเหรียญสหรัฐ ซอสปรุงรส ครองส่วนแบ่งการตลาดนำเข้า 13% หรือมูลค่าเฉลี่ย 3 ปี (2557-2559) 12.6 ล้านเหรียญสหรัฐ จึงขอให้ภาคเอกชนเร่งใช้ประโยชน์จากการลดภาษีดังกล่าว
สำหรับสินค้าข้าว น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รมช.พาณิชย์ ได้ติดตามกับ รมช.พาณิชย์ของจีน ในการประชุมเตรียมการสำหรับประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้าการลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย – จีน (JC) ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2561 โดยได้ขอให้จีนเร่งส่งผู้แทนสำนักงานควบคุมคุณภาพตรวจสอบและกักกันโรคของจีน (AQSIQ) มาตรวจสอบโรงงานผลิตและแปรรูปข้าวไทยที่ส่งออกโดยเร็ว เพื่อให้ไทยสามารถขยายการส่งออกสินค้าข้าวไปจีนได้เพิ่มขึ้น
จากการวิเคราะห์ของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ พบว่าในส่วนของสินค้าอุตสาหกรรม ไทยมีสินค้าที่มีศักยภาพ เช่น ชิ้นส่วนและอุปกรณ์รถยนต์ แผงวงจร อุปกรณ์เลเซอร์ เคมีอินทรีย์ ส่วนประกอบโทรศัพท์ หน่วยเก็บความจำ ส่วนประกอบเครื่องจักร และพลอยเนื้ออ่อน เป็นต้น ซึ่งจีนลดภาษีเหลือ 5% เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2561 ยังครองสัดส่วนในตลาดจีนต่ำ ประมาณ 1-10% จึงขอให้ภาคเอกชนเร่งใช้ประโยชน์ นอกจากนี้ ในกลุ่มสินค้าที่จีนมีสถิติการนำเข้าจากทั้งโลกสูง แต่ไทยยังไม่เคยมีการส่งออกไปจีน เช่น สินค้าเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ โทรทัศน์ รถบัสโดยสารขนาดกลางและใหญ่ เป็นต้น โดยขณะนี้จีนลดภาษีให้ไทยลงมาเหลือร้อยละ 5 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 แล้ว
นางอรมน กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมหน่วยงานภาครัฐและเอกชนข้างต้น เห็นควรให้เร่งประชาสัมพันธ์ส่งเสริมให้ชาวจีนรู้จักผลไม้ และข้าวชนิดต่างๆ ของไทย รวมทั้งสินค้าสุขภาพซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในตลาดจีน ทั้งนี้ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้ประสานกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแล้ว รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออก การจับคู่ธุรกิจ การประชาสัมพันธ์เตือนให้ผู้ประกอบการไทยที่สนใจส่งสินค้าไปจีน ยื่นจดเครื่องหมายการค้าในจีนก่อนส่งออก ซึ่งปัจจุบันสะดวกมากขึ้น เนื่องจากไทยเป็นภาคีพิธีสารมาดริด เรื่องการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าระหว่างประเทศ โดยสามารถยื่นคำขอจดทะเบียนที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้แล้ว
สำหรับกรณีที่ผู้ประกอบการมีข้อกังวลว่าการลดภาษีภายใต้ FTA อาเซียน – จีน ของไทย จะทำให้มีสินค้าราคาถูกจากจีนทะลักเข้าไทยนั้น ผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบและเกิดความเสียหายจากการนำเข้าสินค้าจากจีน สามารถติดต่อกระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) เพื่อขอใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping: AD) มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty: CVD) และมาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard Measures: SG) ได้ ขณะเดียวกันกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ก็จะหารือกับภาคเอกชนเป็นระยะเพื่อติดตามผลการเปิดตลาดต่อไป
ปัจจุบัน จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย โดยจีนเป็นตลาดส่งออกและแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ของไทย ในขณะที่ไทยเป็นตลาดส่งออกอันดับ 15 และแหล่งนำเข้าลำดับที่ 10 ของจีน ในปี 2559 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่ารวม 65.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยในปี 2560 (ม.ค.-พ.ย.) การค้ารวมระหว่างไทยกับจีนมีมูลค่า 67 พันล้านเหรียญสหรัฐ ไทยและจีนได้ตั้งเป้าหมายการค้าสองฝ่ายให้มีการขยายตัวเป็นสองเท่า หรือ 120 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2563 ด้านการลงทุน จีนเป็นนักลงทุนทางตรงอันดับที่ 3 ของไทย ในปี 2560 (ม.ค.-ก.ย.) นักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนในไทยมีมูลค่า 385 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับการท่องเที่ยว ในปีที่ผ่านมา มีชาวจีนเดินทางมาประเทศไทย 9.8 ล้านคน