นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงาน โดยกรมธุรกิจพลังงาน อยู่ระหว่างการพิจารณาลดสำรองน้ำมันดิบตามกฎหมายจากปัจจุบันที่อยู่ระดับ 6% เหลือ 5% เพื่อหวังลดภาระของโรงกลั่นน้ำมันในช่วงที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง และอาจจะกระทบต่อราคาน้ำมันขายปลีกได้ หลังผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายมองว่ามีแนวโน้มที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในปีนี้จะยืนทรงตัวสูงที่ราว 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบในระดับดังกล่าว มองว่ายังไม่กระทบต่อเศรษฐกิจ แต่ราคาน้ำมันดิบในปีนี้ก็มีความเสี่ยงที่จะผันผวนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในราคาที่สูงขึ้น จึงต้องการให้ผู้ประกอบการมีความระมัดระวังการใช้น้ำมันเพื่อให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่กระทบต่อธุรกิจ
ในส่วนของกระทรวงพลังงานก็ให้ความมั่นใจว่าจะรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันขายปลีกไม่ให้สูงเกินไป ด้วยระบบการบริหารจัดการของผู้ค้าน้ำมันที่มีประสิทธิภาพและเข้มแข็ง รวมถึงการกำกับดูแลของกระทรวง โดยจะไม่ใช้การตรึงราคาน้ำมัน โดยเฉพาะการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในระดับ 30 บาท/ลิตรเหมือนในอดีต เพราะเห็นว่าไม่น่าจะเป็นแนวทางที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเบื้องต้นสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้เตรียมศึกษาแนวทางเพื่อเตรียมนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่ออนุมัติต่อไป
แต่กลไกเบื้องต้นของกระทรวง คือการดูแลราคาน้ำมันโดยผ่านกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นหลักก่อน ซึ่งปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีฐานะสุทธิ 3.46 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีของน้ำมัน 3.17 หมื่นล้านบาท และบัญชีของก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่ 2.9 พันล้านบาท
"สถานการณ์ตลาดตอนนี้ แม้ระดับราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น ราคาอ้างอิงน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่ม แต่ด้วยค่าเงินบาทที่แข็งค่าและระบบบริหารจัดการของผู้ค้าน้ำมัน สามารถบริหารจัดการไม่ให้กระทบราคาขายปลีกมาก โดยที่รัฐไม่ต้องเข้าไปอุดหนุนราคา นับเป็นการสร้างระบบราคาที่มีความเข้มแข็งและมีเสถียรภาพ...กรมธุรกิจพลังงานก็พิจารณาอาจจะลดสัดส่วนสำรองน้ำมันดิบจาก 6% ลงเหลือ 5% หรือไม่ ในสถานการณ์ที่ยังไม่มีเหตุบอกว่าจะเกิดการขาดแคลนหรือมีความเสี่ยงกับสงคราม ก็จะเป็นการลดภาระของโรงกลั่นน้ำมัน ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันอยู่ในระดับราคาที่ต่ำได้"นายศิริ กล่าว
ด้านนายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า การลดปริมาณสำรองน้ำมันตามกฎหมายนั้น จะพิจารณาควบคู่ทั้งในส่วนของสำรองน้ำมันดิบของกลุ่มโรงกลั่นที่ปัจจุบันอยู่ระดับ 6% และลดปริมาณสำรองน้ำมันสำเร็จรูป ของผู้ค้าน้ำมันที่ปัจจุบันอยู่ระดับ 1% โดยการหารือเบื้องต้นทางกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันเสนอให้ลดปริมาณสำรองน้ำมันดิบจาก 6% เหลือ 4% ซึ่งจะทำให้การสำรองน้ำมันดิบลดเหลือ 15 วันจากเดิม 22 วัน และทำให้ต้นทุนน้ำมันลดลงราว 25 สตางค์/ลิตร
อย่างไรก็ตาม กรมฯ ไม่ได้คาดหวังว่าการลดปริมาณสำรองดังกล่าวจะทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกลดลง แต่คาดหวังว่าจะทำให้ราคาน้ำมันไม่ปรับสูงขึ้นในช่วงที่ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวขึ้น
ส่วนปริมาณสำรองน้ำมันสำเร็จรูปตามกฎหมายนั้น อาจไม่จำเป็นต้องจัดเก็บก็ได้ เพราะปริมาณที่จัดเก็บปัจจุบันค่อนข้างน้อยมาก อีกทั้งผู้ค้าน้ำมันต่างก็จัดเก็บสำรองน้ำมันสำเร็จรูปด้วยตัวเองอยู่แล้ว รวมถึงน้ำมันสำเร็จรูปยังหาได้จากตลาดจรทั่วไป ซึ่งเชื่อว่าจะไม่กระทบต่อด้านความมั่นคงด้านพลังงาน โดยคาดว่าแนวทางการลดปริมาณสำรองน้ำมันจะมีข้อสรุปได้ภายในเดือนมี.ค.61
ทั้งนี้ การสำรองน้ำมันดิบตามกฎหมายเดิมกำหนดไว้ที่ระดับ 5% แต่มาเพิ่มเป็น 6% เมื่อ 4 ปีที่แล้ว หลังเกิดสถานการณ์ในอิหร่าน ซึ่งการปรับเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันในครั้งนั้น ทำให้โรงกลั่นน้ำมันมีต้นทุนเพิ่มขึ้นราว 16 สตางค์/ลิตร และกลุ่มโรงกลั่นและผู้ค้าน้ำมันก็ไม่ได้ปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันในช่วงดังกล่าว