(เพิ่มเติม) คลัง เตรียมขายหุ้นที่ไม่จำเป็นต้องถือครองทั้งใน-นอกตลท.ภายในปีนี้ รวมหุ้นในกลุ่มเดวิสกรุ๊ป

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday January 24, 2018 12:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

น.ส.ปิยวรรณ ล่ามกิจจา รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ตามที่มีข่าวว่ากระทรวงการคลังมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทในกลุ่มเดวิส 4 บริษัท ซึ่งได้รับโอนมาจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งประกอบด้วยหุ้นของบริษัท เดวิส ไดมอนด์สตาร์ จำกัด จำนวน 10,000 หุ้น, บริษัท เดวิส โคปา คาบานา จำกัด จำนวน 6,000 หุ้น, บริษัท เดวิส โกลเด้นท์สตาร์ จำกัด จำนวน 7,446 หุ้น และบริษัท เดวิส ซิลเวอร์สตาร์ จำกัด จำนวน 10,000 หุ้น นั้น

"กระทรวงการคลังถือหุ้นใน 4 บริษัทในกลุ่มเดวิส คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 0.5-2% เท่านั้น และที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยได้รับเงินปันผลจากทั้ง 4 บริษัทดังกล่าวเลย และลึก ๆ ก็ไม่แน่ใจว่า 4 บริษัทในกลุ่มเดวิสมีความเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับ "วิคตอเรีย" ของนายกำพล วิระเทพสุภรณ์หรือไม่ เพราะเท่าที่ทราบ ใน 4 บริษัทก็มีธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์อยู่ในนั้นด้วย" น.ส.ปิยวรรณ กล่าว

สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลัง ขอชี้แจงข้อเท็จจริงสำหรับกรณีดังกล่าว ดังนี้

1. กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการถือครองและบริหารหลักทรัพย์ของรัฐ ซึ่งรวมถึงการถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชน โดยหุ้นของบริษัทต่างๆ ที่กระทรวงการคลังถือครองในปัจจุบันได้รับมาโดยวิธีการต่างๆ เช่น การลงทุนตามนโยบายภาครัฐ การลงทุนเพิ่มเติมตามสิทธิของผู้ถือหุ้นเดิม และการได้รับหลักทรัพย์มาโดยนิติเหตุหรือจากการยึดทรัพย์ตามคำพิพากษาของศาล

2. หุ้นในกลุ่มบริษัทเดวิสทั้ง 4 บริษัทข้างต้น กระทรวงการคลังได้รับโอนมาตามคำสั่งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2555 ซึ่งเป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกา และหุ้นดังกล่าวได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงเป็นชื่อกระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2555

3. ปัจจุบันกระทรวงการคลังมีนโยบายที่จะจำหน่ายหลักทรัพย์ที่หน่วยงานของรัฐไม่จำเป็นต้องถือครอง ได้แก่ หุ้นที่ได้รับมาโดยนิติเหตุหรือยึดทรัพย์ หุ้นที่หมดความจำเป็นตามนโยบายของภาครัฐ และหุ้นในบริษัทในอุตสาหกรรมที่เอกชนดำเนินการได้ดีอยู่แล้ว ทั้งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และที่ไม่ได้จดทะเบียนใน ตลท. และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2559 เห็นชอบในการจำหน่ายหลักทรัพย์ที่ไม่จำเป็นต้องถือครองตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และเห็นชอบให้กระทรวงการคลังพิจารณาวิธีการจำหน่ายและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายหลักทรัพย์ในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาครัฐ

4. ปัจจุบันกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาจำหน่ายหุ้นตามมติคณะรัฐมนตรีข้างต้น ซึ่งรวมถึงหุ้นในกลุ่มบริษัทเดวิสทั้ง 4 บริษัทดังกล่าว ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการจำหน่ายหุ้นได้ภายในปี 2561

น.ส.ปิยวรรณ กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาจำหน่ายหุ้นตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยกลุ่มแรกที่จะขายมีทั้งสิ้น 24 บริษัท โดยเป็นการได้มาจากนิติเหตุหรือยึดทรัพย์ ซึ่งมีทั้งธุรกิจโรงพยาบาล ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น โดยในส่วนนี้รวมถึง 4 บริษัทในกลุ่มเดวิสด้วย ซึ่งคาดว่าแผนยุทธศาสตร์การจำหน่ายหุ้นจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี 2561 และคาดว่าจะเริ่มจำหน่ายหุ้นได้ภายในปีนี้ โดย 24 บริษัท แบ่งเป็น บริษัทที่มีมูลค่าน้อย 20 บริษัท และอีก 4 บริษัทต้องมีการตรวจสอบสถานะทางการเงิน (ดิวดิลิเจนท์) ก่อน เพราะมีมูลค่ามาก

ปัจจุบันกระทรวงการคลังมีการถือครองหลักทรัพย์ทั้งสิ้น 116 แห่ง แบ่งเป็นหลักทรัพย์เอกชน 88 แห่ง ในส่วนนี้แบ่งเป็นหลักทรัพย์ที่มีการล้ม ล้าง เลิกกิจการ 33 แห่ง ที่อยู่ระหว่างการเคลียร์บัญชี และเป็นการถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจอีก 23 แห่ง รวมถึงการถือหุ้นในกองทุนรวมต่าง ๆ อีก 5 แห่ง โดยตามหลักการจะต้องมาพิจารณาจัดกลุ่มหลักทรัพย์แต่ละส่วนก่อน ซึ่งแบ่งเป็นหลักทรัพย์กลุ่มที่กระทรวงการคลังจำเป็นต้องถือ หลักทรัพย์ที่ได้มาโดยนิติเหตุ หรือยึดทรัพย์ หลักทรัพย์กลุ่มที่หมดความจำเป็นต้องถือตามนโยบายรัฐบาล และหลักทรัพย์ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เอกชนดำเนินการได้ดี ซึ่งทั้งหมดก็จะต้องมาพิจารณาแยกเป็นบริษัทจดทะเบียน และไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อีกด้วย

“หากพิจารณาจากกลุ่มหลักทรัพย์เอกชน 88 แห่ง เมื่อหักลบกลุ่มล้ม ล้าง เลิกกิจการ 33 แห่งแล้ว จะเหลือ 55 หลักทรัพย์ที่ต้องมาจัดกลุ่มตามนโยบายรัฐด้วยว่ามีหลักทรัพย์ไหนที่จำเป็นต้องถือ ไม่จำเป็นต้องถือ หรือเอกชนดำเนินการได้ดี โดยเมื่อได้ข้อสรุปหากมีนัยสำคัญก็ต้องเสนอให้ ครม. พิจารณาอีกครั้ง แต่การขายหลักทรัพย์ในกลุ่มที่ได้มาจากนิติเหตุจะเป็นกลุ่มแรกที่ขายในปีนี้แน่นอน" นางสาวปิยวรรณ กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ