นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการมอบนโยบายให้กับธนาคารออมสิน โดยระบุว่า ธนาคารออมสินต้องปรับบทบาทและความคิดใหม่ โดยต้องเน้นการช่วยสร้างโอกาสและพัฒนาผู้มีรายได้น้อยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยอยากให้ดูเรื่องการบริหารจัดการให้ดี และไม่จำเป็นต้องเน้นเรื่องการการหารายได้เพื่อส่งเข้าแผ่นดิน หรือการทำกำไรมากมาย แต่อยากให้เน้นเรื่องการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยตามนโยบายรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผู้มีรายได้น้อยยังต้องการความช่วยเหลือ จึงขอให้ธนาคารออมสินเข้าไปช่วยเสริม โดยการเชื่อมโยงแนวทางการช่วยเหลือกับภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการเข้าไปช่วยพัฒนาผู้มีรายได้น้อยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
"ยุทธศาสตร์ของออมสินถือว่ามาถูกทางแล้ว แต่โครงสร้างการทำงานยังเป็นแบบเก่าเมื่อ 50 ปีก่อน ที่ยังเน้นดูแลลูกค้ารายย่อย รายใหญ่ และส่งเสริมการออม หลังจากนี้จะต้องปรับบทบาทใหม่ เข้าไปพัฒนาใน 4 กลุ่มเป้าหมาย อาจจะผ่านความร่วมมือกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจด้วยกัน เช่น ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) หรือธนาคารกรุงไทย โดยประเทศจะเจริญได้ต้องมีการขับเคลื่อน โดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นกลาง เราต้องทำให้เขายืนได้ ไม่ใช่ยืนได้จากการปล่อยสินเชื่อเท่านั้น แต่ต้องมีการเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็นให้ด้วย เพื่อให้เขามีรายได้มากขึ้น" นายสมคิด กล่าว
โดยให้มีการจัดกลุ่มเป้าหมายสำคัญเป็น 4 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มฐานราก ผู้มีรายได้น้อย คนตัวเล็ก ผู้ประกอบการ SMEs พ่อค้า แม่ค้า เป็นต้น 2. กลุ่มชนชั้นกลาง คนที่มีงานทำ อยู่ในเมือง มีรายได้สูงกว่ากลุ่มฐานราก 3. กลุ่มสตาร์ทอัพ และ 4. กลุ่มผู้สูงวัย ที่ยังมีศักยภาพในการทำงานได้
พร้อมระบุว่า จะต้องมีการจัดทำ Big Data ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนาในส่วนอื่น ๆ ตามมา เช่น การปล่อยสินเชื่อเพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจประเทศในอนาคต ต้องเริ่มก้าวไปให้เข้ากับยุคดิจิทัล ต้องนำดิจิทัลมาใช้เพื่อเสริมในส่วนต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับประเทศ และยังต้องการให้ธนาคารออมสินเป็น Local Bank เพื่อใกล้ชิดกับประชาชนต่อไป และให้สามารถเชื่อมโยงกับสถาบันการเงินชุมชน ซึ่งจะเป็นการช่วยยกระดับและพัฒนาในระดับชุมชน ซึ่งที่ผ่านมา บุคลากรของธนาคารออมสินมีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ ก็ควรนำทักษะที่มีลงไปทำงานเพื่อช่วยเหลือให้ทุกส่วนเดินไปได้ด้วยดีในอนาคตข้างหน้า
ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังต้องการให้ธนาคารออมสินเตรียมความพร้อมเรื่องการสร้างหรือสรรหาผู้ดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (Account Officer: AO) หรือ "หมอประชารัฐสุขใจ" เพื่อทำหน้าที่สำรวจสภาพข้อเท็จจริง สอบถามความประสงค์ และให้คำแนะนำแผนการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้รัฐบาลสามารถวิเคราะห์การให้ความช่วยเหลือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรายบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจัดทำเป็นข้อมูล เพื่อประเมินผลโครงการได้ต่อไป เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของรัฐบาลในการผลักดันให้คนที่มาลงทะเบียนทั้ง 11.4 ล้านคน โดยในปีแรกตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถผลักดันให้ผู้มีรายได้น้อยหลุดพ้นจากความยากจนไม่น้อยกว่า 25%
ทั้งนี้ ตามหลักการแล้วโครงการสวัสดิการรัฐ เฟส 2 จะเริ่มในวันที่ 1 ก.พ.นี้ ดังนั้นในช่วง ก.พ. - มี.ค.61 จะต้องได้รายชื่อของ AO และเริ่มฝึกอบรมก่อนลงพื้นที่ไปสำรวจความต้องการของผู้มีรายได้น้อยและนำข้อมูลเข้ามาใส่ในระบบภายใน 3 เดือน โดยเรื่องนี้อยากให้มีการบรรจุเป็นวาระของธนาคาร และมีการกำหนดตัวชี้วัดการทำงานของธนาคารด้วย เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญตามนโยบายรัฐบาล
ขณะที่นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารออมสิน ได้เห็นชอบโครงการสินเชื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่จะเริ่มให้ยื่นขอสินเชื่อได้ตั้งแต่ 1 ก.พ.61 โดยมีเป้าหมายช่วยคนหลุดพ้นความยากจนได้ไม่น้อยกว่า 1 ล้านรายภายในปี 63