นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวภายหลังหารือร่วมกับผู้ส่งออกสินค้ารายใหญ่ถึงสถานการณ์ส่งออกของไทยในปี 61 ว่า กลุ่มสินค้าที่ยังส่งออกได้ดีอยู่ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ น้ำมันสำเร็จรูป ส่วนกลุ่มที่อาจจะชะลอตัว เช่น มันสำปะหลัง ที่มีปัญหาผลผลิตน้อย ซึ่งเบื้องต้นคาดการณ์ว่า มูลค่าการส่งออกไทยปีนี้จะขยายตัวได้ 6% จากปี 60 ด้วยมูลค่า 250,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
"ได้สั่งการให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นำผลการประชุมครั้งนี้ไปสรุปผลรวมกับข้อมูลของทูตพาณิชย์ เพื่อกำหนดเป็นเป้าหมายการส่งออกอย่างเป็นทางการ แต่เบื้องต้นมองว่า การส่งออกไทยปีนี้จะขยายตัว 6% ได้"
ส่วนผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่านั้น ภาคเอกชนเสนอให้รัฐบาลรักษาเสถียรภาพของค่าบาทให้อยู่ในระดับเดียวกับภูมิภาค รวมถึงหามาตรการต่างๆ ช่วยเหลือ โดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จะสรุปมาตรการเสนอรัฐบาลอีกครั้ง โดยจะนำผลสรุปเหล่านี้เสนอต่อนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี
นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ คาดว่า แนวโน้มการส่งออกในปี 61 จะขยายตัวไปในทิศทางที่ดีจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศผู้นำเข้า และเศรษฐกิจโลก ส่วนตัวมองกรอบการขยายตัวอยู่ที่ 5-10% โดยจะสรุปเป้าหมายอย่างเป็นทางการในการประชุมทูตพาณิชย์วันที่ 19 ก.พ.นี้ ซึ่งจะนำข้อมูลจากภาคเอกชนมาสรุปรวมด้วย
ด้านนายสนั่น อังอุบลกุล รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนมองว่าการส่งออกทั้งปี 61 เติบโตในระดับ 5-6% ภายใต้ค่าเงินบาทเฉลี่ยทั้งปีที่ระดับ 32 บาท/เหรียญฯ ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินของกระทรวงฯ แต่เป็นห่วงเรื่องค่าเงินบาทแข็งค่า
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในไตรมาสที่ 3 ค่าเงินดอลลาร์สหัฐฯ จะแข็งค่าขึ้นอีก จากการขึ้นดอกเบี้ยเชิงนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งภาคเกษตรของไทยจะได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ที่สำคัญสินค้าไทยยังแข่งขันด้านราคากับคู่แข่ง อย่างเวียดนามไม่ได้ เพราะเวียดนามค่าเงินแข็งค่าน้อยกว่าไทยมาก เนื่องจากใช้ระบบตะกร้าเงิน ที่ผูกติดกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ ภาคเอกชนได้ประเมินการส่งออกเป็นรายกลุ่มสินค้าภายใต้มูลค่าการส่งออกโดยรวมปีนี้ขยายตัว 5.9% มูลค่า 250,000 ล้านเหรียญฯ ดังนี้ สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร คาดขยายตัว 3% มูลค่า 36,100 ล้านเหรียญฯ เช่น ข้าว เพิ่ม 1% ยางพารา เพิ่ม 5% ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เพิ่ม 4% อาหาร เพิ่ม 4% และน้ำตาล เพิ่ม4%, สินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 6% มูลค่า 200,000 ล้านเหรียญฯ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เพิ่ม 10% ยานยนต์ เพิ่ม6% เครื่องใช้ไฟฟ้า เพิ่ม 5% เม็ดพลาสติก เพิ่ม 8% อัญมณีและทองคำ เพิ่ม 1% ผลิตภัณฑ์ยาง เพิ่ม 15% น้ำมันสำเร็จรูป เพิ่ม 9% เป็นต้น ส่วนสินค้าอื่นๆ ขยายตัว 4% มูลค่า 14,100 ล้านเหรียญฯ