นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) กล่าวถึงนโยบาย One Belt One Road ของจีนว่า อาจเป็นการปฏิวัติเศรษฐกิจครั้งสำคัญ รัฐบาลจึงมุ่งหวังให้โครงการอีอีซีจะเป็นสถานีเศรษฐกิจหลักของอาเซียนที่มีความได้เปรียบในเรื่องยุทธศาสตร์ที่ตั้ง ขณะที่ระบบเศรษฐกิจมีการปรับเปลี่ยนจากอดีตที่แข่งขันเรื่องแรงงานราคาถูก จะเห็นได้ว่าขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจของกลุ่ม CLMV กำลังเติบโตไล่หลังกลุ่มอาเซียน 5 เข้ามาทุกที
"ถ้าเราเริ่มต้นช้ากว่านี้จะล้าหลังไล่ตามไม่ทัน เพราะขณะนี้เศรษฐกิจของเวียดนาม และฟิลิปปินส์นำหน้าไทยไปแล้ว" นายคณิศ กล่าว
เลขาธิการอีอีซี กล่าวว่า การพัฒนาจะเน้น 4 เรื่อง คือ 1.โครงสร้างพื้นฐาน 2.อุตสาหกรรมเป้าหมาย 3.นโยบายท่องเที่ยวที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 3 เท่าภายใน 10 ปี และ 4.เมืองใหม่
โดยในวันที่ 1 ก.พ.นี้จะเสนอให้รัฐบาลใช้มาตรา 44 ประกาศเขตส่งเสริมพื้นที่อุตสาหกรรมเพิ่มเติมอีก 18 เขต+1 (นิคมอุตสาหกรรมเฉพาะไฮเทคโนโลยีสำหรับนักลงทุนจีน 3 พันไร่) ซึ่งเป็นพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมเดิมที่เหลืออยู่กว่า 2.6 หมื่นไร่ ขณะที่มีนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาลงทุนเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
"ในอนาคตสภาพความเป็นอยู่ของพื้นที่อีอีซีจะเหมือนกับกรุงเทพฯ ไม่มีความแตกต่างกัน จังหวัดชลบุรี จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดระยองเป็นเพียงแค่เขตทางปกครองเท่านั้น" นายคณิศ กล่าว
เลขาธิการอีอีซี กล่าวว่า สิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดคือเรื่องบุคลากร โดยเฉพาะสาขาอาชีวะที่มีความต้องการมากถึง 5 หมื่นคน ซึ่งมีการแก้ไขปัญหาไปได้แล้วบางส่วน และสิ่งสำคัญคือการเร่งออก พ.ร.บ.อีอีซี เพื่อไม่ให้โครงการเงียบหายไปเหมือนอีสเทิร์นซีบอร์ด ซึ่งคาดว่าจะเสนอให้ที่ประชุม สนช.พิจารณาวาระ 3 ได้ในเดือน ก.พ.61