นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และโฆษกกระทรวงพลังงงาน เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวานนี้ (30 ม.ค.) ว่า ในช่วงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2560 เป็นต้นมา ทางกระทรวงพลังงาน ได้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จากราคา CP ที่ประกาศโดยประเทศซาอุดิอาระเบีย เป็นราคาตลาดในภูมิภาคอาเซียน (Cargo) ส่งผลให้ราคาก๊าซแอลพีจีในประเทศมีราคาลดลงสะท้อนต้นทุนตลาดที่แท้จริง
ในปัจจุบันราคาก๊าซแอลพีจีในตลาดอาเซียนอยู่ที่ 505 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่ราคา CP ในเดือนมกราคม 2561 อยู่ที่ 580 เหรียญสหรัฐต่อตัน และขณะเดียวกันอัตราค่าเงินบาทได้แข็งค่าขึ้นจาก 33.35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2560 เป็น 31.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ในเดือนมกราคม 2561 ส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซแอลพีจีลดลงในช่วงเวลาดังกล่าว จาก 21.15 บาทต่อกิโลกรัม เหลือเพียง 19.82 บาทต่อกิโลกรัม
อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้มีการใช้เงินกองทุนช่วยอุดหนุนราคาก๊าซแอลพีจี ประมาณ 1,300 ล้านบาทต่อเดือน ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องรักษาระดับเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้สามารถรองรับกับความผันผวนของราคาก๊าซแอลพีจีในตลาดโลกที่อาจจะปรับเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2561
ดังนั้น กบง. จึงได้มีมติลดอัตราเงินอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จาก 6.3525 บาทต่อกิโลกรัม ลงมาอยู่ที่ 4.7880 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งสถานการณ์ราคาในตลาดปัจจุบันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกก๊าซแอลพีจี ที่ยังมีราคาคงเดิม 19.82 บาทต่อกิโลกรัม