นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้มีประชาชนที่ลงทะเบียนเพื่อผูกบัญชีเงินฝากกับระบบพร้อมเพย์แล้วทั้งสิ้น 37 ล้านบัญชี ในส่วนนี้แบ่งเป็น การผูกบัญชีเงินฝากกับเลขประจำตัวประชาชนจำนวน 25 ล้านบัญชี และการผูกบัญชีเงินฝากกับเบอร์โทรศัพท์มือถืออีก 11 กว่าล้านบัญชี ขณะที่นิติบุคคลมีการผูกบัญชีกับระบบพร้อมเพย์จำนวน 5 หมื่นราย ซึ่งถือว่ายังไม่มาก และจำเป็นต้องเร่งดำเนินการในส่วนนี้ให้เพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการอย่างมาก
ขณะที่ปริมาณการใช้งานผ่านระบบพร้อมเพย์ตั้งแต่เปิดให้บริการในเดือน ต.ค.60 อยู่ที่ 97 ล้านบัญชี โดยยอดธุรกรรมสะสมอยู่ที่ 3.7 แสนล้านบาท และเฉลี่ยยอดธุรกรรมต่อรายอยู่ที่ 3.9 พันบาทต่อรายต่อครั้ง โดยยอดธุรกรรมเฉลี่ยต่อรายปรับลดลงมาจากก่อนหน้านี้ สะท้อนว่ามีประชาชนรายย่อยเข้าไปใช้บริการเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะระบบพร้อมเพย์จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนอย่างมาก
สำหรับความคืบหน้าการติดตั้งเครื่องรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) นั้น ปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่ติดตั้งเครื่อง EDC ไปแล้ว 1.4 แสนราย คิดเป็น 4.8 แสนเครื่อง โดยเป้าหมายคาดว่าจะมีผู้ประกอบการติดตั้งเครื่อง EDC ครบ 5.5 แสนราย ภายในเดือน มี.ค.61 ส่วนการติดตั้งเครื่อง EDC ในหน่วยงานราชการคาดว่าจะครบตามเป้าหมาย 1.8 หมื่นเครื่อง ภายในเดือน มี.ค.นี้เช่นกัน
"ยังมีผู้ประกอบการอีกกว่า 3 แสนรายที่ไม่ยอมติดตั้งเครื่อง EDC เพราะส่วนหนึ่งกังวลว่าเมื่อมีการติดตั้งเครื่องดังกล่าว กรมสรรพากรจะเข้ามาตรวจสอบเรื่องรายได้ ซึ่งตรงนี้ยืนยันว่าแม้จะไม่มีการติดตั้งเครื่อง EDC กรมฯ ก็สามารถเข้าไปดำเนินการตรวจสอบได้ โดยหลังจากนี้กระทรวงการคลังจะต้องเข้าชี้แจงทำความเข้าใจกับภาคเอกชนว่าการติดเครื่องอีดีซีไม่เกี่ยวกับการตรวจสอบภาษี ขณะที่การติดตั้งเครื่องอีดีซีในร้านธงฟ้าประชารัฐ เพื่อเข้าโครงการบัตรสวัสดิการประชาชนทำได้ครบแล้ว 2 หมื่นแห่ง" นายสมชัย กล่าว
ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในส่วนของการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตในปัจจุบันมีปริมาณเพิ่มขึ้นซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี โดยเพิ่มขึ้นจากปกติ 38% คิดเป็นวงเงิน 1.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้เชื่อว่าเมื่อมีการติดตั้งเครื่อง EDC เพิ่มขึ้น จะช่วยเพิ่มช่องทางการเข้าถึงระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ก็น่าจะทำให้ยอดการใช้งานผ่านบัตรต่าง ๆ เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน