น.ส.บรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้เพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้กับสินค้าเกษตรอินทรีย์อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ ได้เปิดตัวเว็บไซต์ www.kasetin-c.com ภายใต้โครงการเกษตรเพื่ออาหารสุขภาพดีวิถีล้านนา เพื่อเป็นช่องทางการตลาดใหม่ให้กับสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่จะสามารถทำให้สินค้าเกษตรอินทรีย์เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น รองรับวิถีชีวิตของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีมาใช้อำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน
ทั้งนี้ ในปัจจุบันเว็บไซต์ www.kasetin-c.com มีสินค้าเกษตรอินทรีย์ ทั้งพืชผัก ผลไม้ และผลิตภัณฑ์แปรรูป ทั้งอาหาร และของใช้ประจำวันที่ผลิตจากวัตถุดิบอินทรีย์จำหน่ายเกือบ 200 รายการ โดยเป็นสินค้าที่ผลิตจากเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ ผู้ผลิตสินค้าชุมชนและท้องถิ่นนำมาจำหน่าย โดยหลังจากเปิดตัวเว็บไซต์อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค.60 ที่ผ่านมา พบว่ามียอดการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"กระทรวงฯ มีแผนที่จะผลักดัน Platform ดังกล่าว ให้เป็นตลาดออนไลน์สำหรับกลุ่มสินค้าเกษตรอินทรีย์ของระดับประเทศในภาพรวมทั้ง 76 จังหวัดต่อไป เพื่อเป็นช่องทางให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าเกษตรอินทรีย์จากจังหวัดต่างๆ ได้โดยง่าย และยังเป็นการช่วยสนับสนุนให้เกษตรกร และผู้เพาะปลูกสินค้าอินทรีย์ มีรายได้เพิ่มขึ้น" โฆษกกระทรวงพาณิชย์ระบุ
น.ส.บรรจงจิตต์ กล่าวว่า นอกเหนือจากการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผ่านทางออนไลน์ กระทรวงพาณิชย์ยังมีแผนที่จะผลักดันให้คนเข้าไปเที่ยวและไปซื้อหาสินค้าเกษตรอินทรีย์ถึงพื้นที่เพาะปลูกด้วย โดยจะผลักดันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว จะส่งเสริมและผลักดันให้คนเข้าไปเที่ยวชมวิถีชีวิตชาวบ้าน ดูการเพาะปลูก วิธีการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ ซึ่งจะทำให้คนเข้าใจวิถีอินทรีย์มากขึ้น และเมื่อไปเที่ยวหรือไปพักผ่อนแล้ว ยังสามารถเลือกซื้อสินค้าติดไม้ติดมือกลับมาเป็นของฝาก หรือซื้อกลับมาบริโภค ซึ่งจะทำให้เกษตรกรที่ปลูกเกษตรอินทรีย์มีรายได้เพิ่มขึ้น
ปัจจุบันกระแสคนรักสุขภาพกำลังมาแรง และมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้สินค้าอินทรีย์มีการขยายตัวตามไปด้วย โดยตลาดเกษตรอินทรีย์โลกมีมูลค่าประมาณ 3 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นปีละ 20% ส่วนมูลค่าตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทยมีมูลค่าประมาณ 2,700 ล้านบาท แยกเป็นการส่งออก 1,100 ล้านบาท และมูลค่าตลาดในประเทศ 1,600 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงฯ มั่นใจว่าจะผลักดันให้มีการเติบโตได้มากกว่านี้ ทั้งตลาดในประเทศและส่งออก