นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาผลผลิตปาล์มน้ำมันว่า ขณะนี้ราคาผลปาล์มสดในประเทศได้ปรับตัวสูงขึ้น โดยล่าสุดวันที่ 1 ก.พ.61 อยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 3.70 บาท ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่กระทรวงต้องการผลักดันให้ถึงกก.ละ 3.80 บาท จากในช่วงเดือนธ.ค.60 ที่ราคาเฉลี่ยอยู่ที่กก.ละ 3.20-3.30 บาท ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงที่สต็อกน้ำมันปาล์มดิบในประเทศทะลุกว่า 520,000 ตัน เกินกว่าสต็อกปกติที่จะมีไว้ประมาณ 300,000 ตัน จนทำให้ราคาผลปาล์มสดในประเทศตกต่ำ
"คาดการณ์ว่า ภายในเดือนก.พ.นี้ มีโอกาสที่ราคาผลปาล์มสดจะอยู่ที่กก.ละ 4 บาท ซึ่งจะบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรลงได้" รมว.พาณิชย์ระบุ
สำหรับสาเหตุที่ผลผลิตปาล์มในประเทศมีราคาสูงขึ้น เพราะมาตรการแก้ปัญหาน้ำมันปาล์มดิบล้นสต็อกที่กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการได้ผลดี ทั้งการเร่งรัดให้ภาคเอกชนส่งออกตั้งแต่เดือนธ.ค.60 จนถึงขณะนี้ส่งออกได้แล้ว 150,000 ตัน แบ่งเป็นเดือนธ.ค.60 จำนวน 60,000 ตัน และเดือนม.ค.61 จำนวนกว่า 80,000 ตัน ส่งผลให้ปัจจุบันสต็อกลดลงเหลือ 400,000 ตัน รวมถึงกระทรวงพลังงานเร่งเก็บสต็อกมากขึ้น เพื่อนำไปผลิตเป็นไบโอดีเซล โดยทั้ง 2 มาตรการจะดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อให้สต็อกน้ำมันปาล์มดิบ กลับเข้าสู่ภาวะปกติที่ประมาณ 300,000 ตัน
"เพื่อให้การแก้ไขราคาปาล์มน้ำมันมีเสถียรภาพ ในวันที่ 8-9 ก.พ.นี้ จะเดินทางไปมาเลเซีย เพื่อหารือกับบริษัทน้ำมันปาล์มรายใหญ่ของมาเลเซีย รวมถึงรัฐบาลมาเลเซีย เพื่อหาแนวทางร่วมกันรักษาระดับราคาน้ำมันปาล์มให้มีเสถียรภาพ เพราะมาเลเซียเป็นตลาดน้ำมันปาล์มรายใหญ่ของโลก ส่วนในระยะยาว จะส่งเสริมให้นำน้ำมันปาล์มดิบมาผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น" รมว.พาณิชย์ กล่าว
ส่วนการดูแลราคาสินค้าเกษตรอื่นๆ นั้น รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ขณะนี้สินค้าเกษตรหลายรายการมีราคาสูงขึ้น เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาขายหน้าโรงงานปัจจุบันอยู่ที่กก.ละ 9.50-9.60 บาท จากปีที่ผ่านมาที่กก.ละ 8 บาท, มันสำปะหลัง ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน โดยราคาหัวมันสดอยู่ที่กก.ละ 2.40 บาท จากเดิมต่ำกว่ากก.ละ 2 บาท ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะพยายามรักษาระดับราคาสินค้าเกษตรให้สีเสถียรภาพ เพื่อดูแลเกษตรกรทั้งประเทศให้มีรายได้สูงขึ้น
ส่วนสินค้าข้าวนั้น กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการทำมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนก.พ.นี้ แม้ปีที่ผ่านมาไทยสามารถส่งออกข้าวได้ปริมาณสูงสุดถึง 11 ล้านตัน และปีนี้คาดว่าจะส่งออกได้ประมาณ 10 ล้านตัน แต่กระทรวงฯ จะไม่เน้นด้านปริมาณการส่งออก จะเน้นในเรื่องของการขายข้าวคุณภาพดี (พรีเมียม) และข้าวที่มีนวัตกรรมให้มากขึ้น เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมข้าวไทยในระยะยาวต่อไป