นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์ Nationnal e-Payment ว่า ได้กำหนดให้ทุกหน่วยงานของภาครัฐ ต้องมีการรับและจ่ายเงินด้วยระบบอิเล็คทรอนิกส์ทั้งหมด โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 27 มี.ค.นี้เป็นต้นไป และภายใน 2 สัปดาห์นี้จะมีคำสั่งออกจากกระทรวงการคลังและกรมบัญชีกลาง เพื่อออกประกาศให้ทุกหน่วยงานรับทราบและเป็นระเบียบปฏิบัติ และอยากให้ประชาชนที่ไปใช้บริการหน่วยงานของรัฐจะต้องใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์เช่นเดียวกัน
ขณะที่ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้เตรียมความพร้อมที่จะลดระยะเวลาการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เหลือ 2 วันทำการ (T+2) จากเดิม 3 วันทำการ หรือ (T+3) ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 2 มี.ค.นี้ และเชื่อว่าจะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยง ลดต้นทุน และช่วยให้ผู้ลงทุนบริหารพอร์ตการลงทุนระหว่างประเทศได้สะดวกมากขึ้น
"เมื่อรัฐรับจ่ายเงินเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ จะทำให้เอกชนตื่นตัวในการจ่ายเงินระบบอิเล็กทรอนิกส์ ด้านรัฐวิสาหกิจก็ได้รับคำสั่งให้ไปดู คาดว่าหลังจากนี้ไม่เกิน 6 เดือนจะดำเนินการได้ และถือเป็นจุดเปลี่ยนแปลงระบบชำระเงินของประเทศ และเป็นจุดเริ่มต้นยุคดิจิทัลของประเทศไทย" นายอดิศักดิ์ กล่าว
ด้านบริการพร้อมเพย์ ที่ประชุมได้มีการหารือถึงการพัฒนาระบบรีเควสทูเพย์ โดยให้ผู้จ่ายเงินสามารถกำหนดเงื่อนไขการจ่ายเงินได้ ซึ่งเมื่อผู้ซื้อของได้รับสินค้าที่ถูกต้องตามที่สั่ง ระบบถึงจะมีการจ่ายเงินให้กับผู้ขาย โดยเงินจะมีธนาคารเป็นผู้ดูแลให้ ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง และเชื่อว่าระบบนี้จะส่งผลดีต่อการทำ e-Commerce เกิดความน่าเชื่อถือมากขึ้น ซึ่งทางสมาคมธนาคารไทยจะนำเรื่องไปดำเนินการต่อไป
นอกจากนี้ นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า จะมีการติดตั้งเครื่องรับชำระเงิน (EDC) เพิ่มเติมอีก 20,000 เครื่อง ซึ่งขณะนี้ติดตั้งเครื่องอีดีซีแล้ว 500,000 กว่าเครื่อง เพื่อตอบสนองร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการธงฟ้า
ส่วนข้อกังวลของประชาชนที่อาจยังไม่มั่นใจในการทำธุรกรรมผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ หลังเกิดปัญหาระบบพร้อมเพย์ล่มนั้น รมว.คลัง กล่าวว่า ไม่อยากให้ประชาชนกังวลใจ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นมีเหมือนกันทั่วโลก แต่สิ่งที่ทำได้คือ ทางธนาคารต้องไปหาสาเหตุและแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด